Narathiwat – Sukirin — เที่ยวนราธิวาสชมธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ที่สุดปลายด้ามขวานไทย
หลายคนน่าจะเคยตั้งคำถามกับการมาเที่ยวที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่ามีอะไรเที่ยว? เที่ยวได้ปลอดภัยจริงไหม? ยอมรับว่าก่อนไปเราเองก็มีความกังวลอยู่บ้างเหมือนกัน แต่พอไปถึงแล้ว ระหว่างนั่งรถออกมาจากสนามบิน เราก็พบว่าบรรยากาศเมืองนราธิวาสก็เหมือนกับจังหวัดอื่นๆ ผู้คนออกมาใช้ชีวิตกันตามปกติ ยิ้มแย้ม อัธยาศัยดี แถมด้วยวัฒนธรรมการกินโรตีกับชาสุดน่ารัก สิ่งเหล่านี้ลบภาพจำไปเลยว่าจังหวัดปลายด้ามขวานน่ากลัว
ด้วยความที่จังหวัดนราธิวาสยังไม่ค่อยมีคนจากภาคอื่นๆ มาเที่ยวมากนัก ธรรมชาติของที่นี่ ไม่ว่าจะเป็น ภูเขา ป่าไม้ น้ำตก ต้นน้ำลำธารจึงยังอุดมสมบูรณ์อยู่มาก ต้นไม้ที่เคยเห็นว่าใหญ่ ที่นี่ทั้งใหญ่กว่า สูงกว่า และเขียวครึ้มกว่า น้ำในลำธารที่ว่าใส ที่นี่ทั้งใสไหลเย็นมองลงไปเห็นหินตะกอนด้านล่างเลย และที่ไม่แนะนำไม่ได้เลยก็คือวัฒนธรรม อาหารการกินที่หรอยแรง! ผสมผสานหลากหลายรสชาติและวิถีแบบดั้งเดิมเอาไว้ได้อย่างครบถ้วนเลยจริงๆ
คราวนี้เราจะพาไปเที่ยวอำเภอสุคิริน ดินแดนที่อุดมไปด้วยธรรมชาติสุดเขียว อากาศเย็นสบาย รายล้อมไปด้วยภูเขา และผืนป่าฮาลา-บาลาที่มีพันธุ์ไม้ขึ้นหนาแน่น พร้อมพาไปดูวัฒนธรรมและกินอาหารโลคัลแท้ๆ ของชาวนราธิวาสอีกด้วย
อยากให้ทุกคนเปิดใจให้จังหวัดนราธิวาส ลองมาเที่ยวกันดูนะ : )
นอกจากที่เที่ยวจะ Unseen ไม่เหมือนใคร บอกเลยว่ามาแล้วไม่มีอะไรที่ทำให้เรารู้สึกกลัวเลย กลับอบอุ่นใจไปด้วยร้อยยิ้มจากพี่ๆ ในชุมชนเสียมากกว่า เป็นบรรยากาศแสนเรียบง่ายที่อยากชวนให้ทุกคนได้ลองไปสัมผัสกัน
ถ้ามาเที่ยวสุคิรินแนะนำให้ติดต่อชุมชนก่อนมาน้าจะได้เที่ยวได้อย่างอุ่นใจ ไม่ต้องกลัวหลง และมีคนให้ความรู้แบบอินไซด์ก็จะยิ่งช่วยให้ให้เที่ยวสนุกขึ้นอีก
ติดต่อพี่ไกด์ท้องถิ่นได้ที่ > 093-725-0969 พี่หรั่ง หรือ 087-967-3076 แบฮา
การเดินทางไปนราธิวาสตอนนี้สะดวกง่ายดายมากแล้ว สามารถนั่งเครื่องจากกรุงเทพฯ ไปลงนราธิวาส ใช้เวลาประมาณ 1.30 ชั่วโมงก็ถึงตัวเมืองนราธิวาส หลังจากนั้นจะเช่ารถขับเองไปยังสุคิรินก็ได้ แต่เราแนะนำให้เพื่อนๆ ติดต่อชุมชนไว้ก่อนก็จะสะดวกมาก ให้มารับเราที่สนามบินเพื่อไปเที่ยวต่อตามแพลนได้เลย
ทั้งทริปนี้จริงๆ เราไปหลายวัน แต่รวมมาให้เป็นทริปสุคิรินโดยเฉพาะ ให้สามารถเที่ยวตามกันได้ง่ายๆ แนะนำกิจกรรมเป็นตามนี้เลย สามารถบินมาช่วงเสาร์อาทิตย์ 3-4 วันได้
แยกเป็น 2 Stop หลัก คือ
1) บ้านจุฬาภรณ์พัฒนา 12 ตำบลสุคิริน อำเภอสุคิริน
– ผานับดาว: ดูทะเลหมอกสุดลูกหูลูกตา
– ล่องแก่งต้นน้ำสายบุรี: พายคายัคในลำธารหลังหมู่บ้านซึ่งเป็นต้นน้ำสายบุรีและเป็นต้นน้ำดื่มน้ำใช้ของคนในหมู่บ้าน
– นั่งปิกนิกชิลริมน้ำ พร้อมกินเซ็ตอาหารริมลำธารหรือ Floating Lunch
2) ตำบลภูเขาทอง อำเภอสุคิริน
– ร่อนทอง: ไปลองร่อนทองกันจริงๆ ทดสอบดวงความเฮงและพลังแขนในการร่อนทอง
– เหมืองทองโต๊ะโมะ: เดินป่าระยะสั้นเพื่อไปดูเหมืองทองเก่า ต้นกำเนิดการร่อนทองของชาวบ้านภูเขาทอง
– ต้นกะพงยักษ์: เดินป่าอีกเหมือนกัน เพื่อไปเจอต้นไม้ยักษ์ 27 คนโอบ!
ทั้ง 2 ที่มีโฮมสเตย์แบบบ้านๆ สามารถนอนค้างคืนได้ ก่อนไปสามารถติดต่อผ่านทาง
xxx
**ถ้ามีเวลาเหลือจากทริปเดินป่าแนะนำให้วกมาเดินเล่นในเมืองนราธิวาสก่อนกลับก็เวิร์คเหมือนกัน จะได้รับบรรยากาศความน่ารักของเมืองไปแบบเต็มๆ
• บ้านจุฬาภรณ์พัฒนา 12
Ban Chulabhorn Pattana 12
บ้านจุฬาภรณ์พัฒนา 12 เคยเป็นหมู่บ้านที่มีประวัติเกี่ยวข้องกับพรรคคอมมิวนิสต์มาลายา ที่เคยใช้ชีวิตอยู่ในป่านานเกือบ 30 ปี ภายหลังมีการลงนามสันติภาพเลยได้มีการยุติการสู้รบ สมาชิกบางส่วนเลยได้ผันตัวมาเป็นผู้ร่วมพัฒนาหมู่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นการดูแลป่าและเปิดชุมชนต้อนรับนักท่องเที่ยวให้เข้าไปศึกษาประวัติศาสตร์และสัมผัสธรรมชาติที่ยังอุดมสมบูรณ์
นอกจากประวัติศาสตร์จะแน่นแล้ว ที่นี่ก็มีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ไม่แพ้กันเลย จุดไฮไลท์คือล่องแก่งต้นน้ำสายบุรี กินอาหาร Floating Lunch เก๋ๆ และดูทะเลหมอกสุดลูกหูลูกตา สายเดินป่า ชอบอะไรเขียวๆ ต้องชอบแน่นอน 🙂
ส่วนสายประวัติศาสตร์ ต้องอย่าห้ามพลาดไปเดินดูพิพิธภัณฑ์ประจำหมู่บ้านนี้ด้วยนะ เพื่อเป็นการรำลึกถึงพรรคคอมมิวนิสต์มาลายาในชุมชนก็ได้มีการสร้างพิพิธภัณฑ์บ้านจุฬาภรณ์พัฒนา 12 ขึ้นเพื่อรวบรวมประวัติความเป็นมา สิ่งของต่างๆ เหตุการณ์สำคัญ เครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้สมัยที่ยังอาศัยอยู่ในป่า ใครอยากเข้าใจชีวิตในป่าแบบฉบับอุดมการณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์มาลายาก็เข้ามาดูได้ที่นี่เลย จะเห็นภาพรวมของหมู่บ้านมากยิ่งขึ้น
📍บ้านจุฬาภรณ์พัฒนา 12
•https://goo.gl/maps/fGyvvXNrQrfU1dEh9
•ใครอยากมาทำกิจกรรมแบบเรา สามารถติดต่อได้ที่
https://www.facebook.com/Banchulabhorn12/
– 087-967-3076 แบฮา
– มีจัดเป็นทริปแบบ 2 Days 1 Night ด้วยน้า ราคา 1,490 บาท/5 คนขึ้นไป
🔸โปรแกรมแบบ 2 วัน 1 คืน
•วันที่ 1
– ชมพิพิธภัณฑ์หมู่บ้านจุฬาภรณ์พัฒนา 12
– เดินทางขึ้นฐานเก่ากรม 10 เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ของพรรคคอมมิวนิสต์มาลายา
– ทานอาหารเที่ยง
– ล่องแก่งต้นน้ำสายบุรี
– ชมการฝังเข็ม
– ทานอาหารเย็น
• วันที่ 2
– เดินชมหมู่บ้านตอนเช้า ชมหมอกที่สวนดอกไม้ และร้านน้ำชา
– เดินป่าศึกษาธรรมชาติ
– ทานอาหารเที่ยง
– เดินทางกลับ
* โปรแกรมเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม
* แนะนำให้ติดต่อชุมชนก่อนเดินทางไปน้า
• ผานับดาว
Pha Nub Dao
ถ้าใครอยากเห็นทะเลหมอก ที่เป็นทะเลจริงๆ อยากให้มาดูที่ภาคใต้เลย : )
หมอกที่ผานับดาวจะเริ่มก่อตัวตั้งแต่หัวค่ำ และเริ่มเป็นทะเลหมอกตั้งแต่ตีสามไปจนถึงเช้า ไฮไลท์จะอยู่ที่ช่วงเช้าตอนพระอาทิตย์ขึ้น แสงแดดอ่อนๆ ตกกระทบลงบนปุยหมอกสีขาวนวล มาแล้วสามารถมองเห็นทะเลหมอกได้ 360 องศาเลย หมอกแน่นและเยอะมากก คุ้มค่าแล้วกับการตื่นเช้ามารอดูหมอก 😀
• วิธีการขึ้นไปผานับดาว
– ต้องติดต่อ xx ก่อนไป เพื่อให้ เตรียมรถ 4WD ไว้ให้ ราคา xx
– จะไปได้หรือไม่ได้ต้องดูด้วยว่าคืนก่อนไปฝนตกหนักแค่ไหน เพราะทางขึ้นค่อนข้างชันมากถนนอาจจะลื่นและอันตราย ซึ่งพี่ๆ จะบอกเราตั้งแต่วันก่อนไปเลยว่าไปได้ไหม
– ถ้านัดแนะและดูแล้วว่าไปได้ ให้ขับรถมาจอดที่ xx เพื่อขึ้นรถ 4WD เผื่อเวลาพระอาทิตย์ขึ้นให้ดี ควรจะมาถึงxxx ตอนเวลาประมาณxxx
– นั่งรถ 4WD ไปประมาณ xxนาที ก่อนที่จะจอดตรงทางขึ้นผานับดาวเลย ถึงเวลาเดิน!
– เราต้องเดินเท้าขึ้นต่อไปอีกประมาณ 500 เมตร ทางเดินค่อนข้างชันมาก ยังไงเตรียมร่างกายไปให้พร้อม และพกน้ำดื่มติดตัวไปด้วยน้า เพียงเท่านี้ก็จะได้พบกับทะเลหมอกรายล้อมอยู่เบื้องหน้าสุดลูกหูลูกตาแล้ว
แม้ทางขึ้นจะชันไปสักหน่อยแต่เราว่าคุ้มค่ากับการเดินขึ้นแน่นอน แค่นิดเดียวก็เห็นทะเลหมอกแน่นๆ แบบนี้แล้ว เรียกว่าเป็นเช้าที่ดีมากๆ อยากตื่นมาเจอทะเลหมอกแบบนี้ทุกวันเลย 😀
แม้ทางขึ้นจะชันไปสักหน่อยแต่เราว่าคุ้มค่ากับการเดินขึ้นแน่นอน แค่นิดเดียวก็เห็นทะเลหมอกแน่นๆ แบบนี้แล้ว เรียกว่าเป็นเช้าที่ดีมากๆ อยากตื่นมาเจอทะเลหมอกแบบนี้ทุกวันเลย 😀
📍ผานับดาว
• https://goo.gl/maps/MurVi92TkriMTz9W7
• สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม:
• ล่องแก่งต้นน้ำสายบุรี
Kayaking in the Saiburi River
มาถึงบ้านจุฬาภรณ์พัฒนา 12 กิจกรรมที่ไม่ควรพลาดเลยคือการล่องแก่งต้นน้ำสายบุรี สายน้ำที่หล่อเลี้ยงชีวิตของผู้คนในอำเภอสุคิริน ทางไม่โหดมาก คนที่เพิ่งหัดพายสามารถพายเองได้
ล่องแก่งของที่นี่ไม่ได้มีโขดหินอะไรมากนัก เลยพายเรือคายัคได้แบบสบายๆ จะไม่ได้เป็นเรือยางสุดแอดเวนเจอร์แต่เน้นพายชมวิวมากกว่า สองฝั่งมีต้นไม้ขึ้นเขียวชอุ่มตลอดทาง และยังมีพืชสมุนไพรท้องถิ่นที่มีแค่บ้านจุฬาภรณ์พัฒนา 12 ให้ได้เห็นและเรียนรู้ด้วย
มาล่องแก่งที่นี่ให้ความรู้สึกสบายกาย สบายใจอย่างบอกไม่ถูก ค่อยๆ พายเรือคายัคไปเรื่อยๆ น้ำใสไหลเย็น ลมพัดเอื่อยๆ ตลอดระยะทางประมาณ 6 -7 กิโลเมตรนี้เราได้สัมผัสธรรมชาติอย่างแท้จริง สูดอากาศบริสุทธิ์ไปแบบเต็มปอด แถมยังได้แวะลงเล่นน้ำ เอาตัวลงไปแช่ในน้ำใสแจ๋ว เย็นเจี๊ยบอีกต่างหาก เพลินมากจนอยากแช่อยู่ในน้ำทั้งวัน ใครอยากมาพายเรือชิลๆ ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงเลยนะ 😀
📍บ้านจุฬาภรณ์พัฒนา 12
• https://goo.gl/maps/fGyvvXNrQrfU1dEh9
• เซ็ตอาหารริมลำธาร
Floating Lunch
เปลี่ยนบรรยากาศจาก Floating Lunch ในโรงแรมมาเป็นเซ็ตอาหารริมลำธารกันดูบ้าง
เซ็ตอาหารถูกจัดวางมาอย่างน่ารักบนแพไม้ไผ่ อาหารในเซ็ตประกอบไปด้วยเมนูข้าวผัดผักกูด น่องไก่ทอดขมิ้น น้ำพริกบูดูจิ้มผักสด โรตีปลากระป๋อง และยำดอกดาหลา นอกจากอาหารจะหน้าตาน่ากินแล้ว รสชาติก็อร่อยมากเช่นกัน ไม่เผ็ดจัดจนกินไม่ได้ แต่รสกลมกล่อมกำลังดี ยิ่งกินข้าวผัดกับยำคู่กัน แกล้มด้วยน้ำพริกบูดู ขอบอกเลยว่าหยุดกินไม่ได้ 55555 ปิดท้ายด้วยน้ำอัญชันส้มแขก ชื่นใจๆ ระหว่างกินมองออกไปเห็นลำธารเล็กๆ เอาเท้าแช่น้ำเย็นสบาย เป็นมื้อกลางวันที่อิ่มท้องและดีต่อใจเหลือเกิน 😀
Floating Lunch นี้บอกเลยว่าไม่ใช่แค่เซ็ตอาหารลอยน้ำ แต่เราจะได้ลงไปนั่งกินในลำธารจริงๆ นั่งกินบนก้อนหิน นั่งแช่ในน้ำกันเลย ถ้าใครไม่สะดวก กลัวเปียกสามารถติดต่อทางวิสาหกิจชุมชนบ้านจุฬาภรณ์ 12 ก่อนได้ หรือว่าอาจจะพกเก้าอี้สนามตัวเล็กๆ ติดไปด้วยก็ได้เช่นกัน บรรยากาศเหมาะกับชาวแคมป์ปิ้งเป็นที่สุด
📍บ้านจุฬาภรณ์พัฒนา 12
• https://goo.gl/maps/fGyvvXNrQrfU1dEh9
• สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม: https://www.facebook.com/AHHA-Chulabhorn12 หรือ โทร 088-393-3519
• ภูเขาทอง
Ban Phu Khao Thong
นราธิวาสขึ้นชื่อว่าเป็นจังหวัดที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรม ใช่ว่ามาแล้วเราจะเจอแต่คนใต้หรือมุสลิมอย่างเดียวนะ แต่ยังเจอคนอีสานแท้ๆ ที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่นานกว่าสามชั่วอายุคนด้วย
ภูเขาทอง ตั้งอยู่ใน อ.สุคิริน เป็นพื้นที่ที่รายล้อมไปด้วยภูเขาน้อยใหญ่และธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ด้วยความที่มีดินที่เหมาะแก่การเกษตรและมีสินแร่ทองคำ อาชีพหลักของคนที่นี่เลยส่วนใหญ่จะทำการเกษตร สวนยาง และร่อนทอง ช่วงเย็นๆ แดดร่มลมตก จะเห็นชาวบ้านชวนกันออกมาร่อนแร่ หาทองกันในลำธารริมหมู่บ้าน แต่ทองในที่นี้ไม่ใช่ทองเป็นก้อนใหญ่ๆ นะ แต่เป็นแร่ทองเล็กๆ ที่ต้องร่อนหาไปเรื่อยๆ เก็บสะสมใส่ขวดไว้แล้วนำไปขายอีกที
นอกจากการร่อนทองแล้ว ที่ภูเขาทองยังมีป่าดิบชื้นอันอุดมสมบูรณ์ให้สายเดินป่าได้ผจญภัย เดินเข้าไปดูเหมืองทอง ต้นไม้ยักษ์ และน้ำตกสวยๆ กันด้วย ขอสปอยล์ไว้ตั้งแต่ตรงนี้เลยแล้วกันว่าบรรยากาศเหมือนกำลังเดินอยู่ในการ์ตูน Ghibli ยังไงยังงั้นเลยล่ะ 😀
📍ภูเขาทอง
• https://goo.gl/maps/t61YcgUUZVgvfGi26
• การเดินทาง
– จากสนามบิน: ลงเครื่องแล้วต่อรถตู้จากสนามบิน – สุไหงโกลก และนั่งรถสองแถวสุไหงโกลก – สุคิริน
ขาเข้า: รถสองแถวโดยสารสุไหงโกลก – สุคิริน – ภูเขาทอง เวลาออก 09.00 – 12.00 น.
ขาออก: รถสองแถวโดยสารภูเขาทอง – สุคิริน – สุไหงโกลก เวลาออก 06.30 น
• สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม:
• ร่อนทอง
Gold Panning
ชาวบ้านที่ภูเขาทองร่อนทองกันมาอย่างช้านานตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ต้องบอกก่อนว่าที่ตั้งของเหมืองทองโต๊ะโมะอยู่ต้นแม่น้ำสายบุรี ในลำธารที่ไหลมายังหมู่บ้านนี้นอกจากจะใสแจ๋วแล้ว ยังเป็นดินตะกอนล้ำค่าเพราะว่ามีแร่ทองผสมปนมากับสายน้ำนี้ด้วยนั่นเอง หลังจากหมดยุคการทำเหมืองทองชาวบ้านเลยยึดการร่อนทองมาเป็นอาชีพเสริมตั้งแต่นั้นมา
ที่เห็นเหมือนกระทะสีดำๆ ในรูปนี้คืออุปกรณ์ที่เรียกว่า “เลียง” ทำมาจากไม้ที่หาได้ง่ายในตำบลภูเขาทอง ชาวบ้านเล่าให้ฟังว่าแต่ละคนจะมีเลียงคู่กาย ถ้าเลียงไหนใช้หาทองได้เยอะ ก็จะใช้เลียงนั้นไปเรื่อยๆ ไม่เปลี่ยน ว่ากันว่าถ้าวันไหนโชคดีร่อนทองได้ถึง 60 กรัมเลยทีเดียว
วิธีการคือต้องเริ่มตั้งแต่ตักดินมาใส่ในเลียง แล้วเอาไปร่อนในน้ำ ให้ดินออกให้หมดก็จะเห็นแร่ทองเล็กๆ ติดอยู่ในเลียง เราเองก็ได้ลองไปร่อนทองมาเหมือนกัน เห็นชาวบ้านเขาทำกันแบบชิลๆ มาก แต่พอเรามาทำเท่านั้นแหละ ยากกว่าที่คิด เพราะดินหนักมาก ต้องมีข้อมือและเอวที่แข็งแรงถึงจะร่อนได้พลิ้วเหมือนชาวภูเขาทอง 55555
ถ้าใครมาภูเขาทองห้ามพลาดการร่อนทองเลย ที่นี่เราจะลองร่อนทองเอง แถมได้ทองกลับบ้านไปเป็นที่ระลึกด้วยน้า 😀
📍ภูเขาทอง
•https://goo.gl/maps/t61YcgUUZVgvfGi26
• ติดต่อร่อนทอง มีต้องจ่ายเงินมั้ย?
• เหมืองแร่ทองคำโต๊ะโมะ
Toh Moh Gold Mine
เล่าก่อนว่าในภูเขาทองแหล่งแร่จะอยู่ในป่าดิบกลางหุบเขาโต๊ะโมะ และเขาลิโช เมื่อก่อนเคยมีชาวอังกฤษเข้ามาติดตั้งเครื่องจักรทำเหมืองทองคำ แต่ไม่สำเร็จเลยล้มเลิกกิจการไป ต่อมามีชาวฝรั่งเศสเข้ามารับช่วงต่อแล้วพบว่า จริงๆ ที่นี่มีแร่ทองคำอยู่เยอะมาก แถมยังเป็นทองคำบริสุทธิ์อีกด้วย จึงได้ทำเรื่องขอสัมปทานจากรัฐบาลทำเหมืองทองคำเป็นเวลา 20 ปี ได้เกณฑ์ชาวบ้านเข้ามาเป็นกรรมกรเหมืองจำนวนมาก แต่พอเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 เหมืองก็ปิดตัวลง เนื่องจากขาดแคลนอุปกรณ์ต่างๆ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเลยหลงเหลือเพียงแค่อุโมงค์เหมืองทองคำให้เราเดินไปสำรวจนั่นเอง
การจะเดินมาที่เหมืองทองต้องเดินป่าระยะสั้นเข้ามาก่อน บรรยากาศรอบๆ จะเป็นป่าสีเขียวน่ารัก มีสะพานไม้ไผ่ข้ามลำธารเล็กๆ น้ำใสแจ๋ว อย่างกับหลุดมาจากหนังเรื่อง Spirit Away ที่จิฮิโระ เดินเข้าไปในอุโมงค์ลึกลับยังไงอย่างนั้นเลย ต่างกันที่เหมืองทองโต๊ะโมะไม่ได้ทะลุไปโลกวิญญาณ แต่ทะลุไปมาเลเซียได้เท่านั้นเอง 😀
เข้ามาแค่ต้นอุโมงค์ก็จะเห็นว่ามีทองเล็กๆ เกาะอยู่ตามผนังเหมืองแล้ว แต่เราเข้าไปได้แค่ต้นอุโมงค์เท่านั้นนะ เพราะถ้าเข้าไปลึกกว่านี้อาจจะอันตรายได้ ในเหมืองจะค่อนข้างมืดแนะนำให้พกไฟฉายหรือโทรศัพท์เข้าไปส่องด้วยจะได้เห็นทองชัดๆ ✨✨
📍เหมืองทองคำโต๊ะโมะ
• https://goo.gl/maps/eYmJbzCN93Y8Fyux9
ต้นกะพงยักษ์
Giant Kaphong Tree
เคยได้ยินคนบอกกันว่าป่าดิบชื้นทางสามจังหวัดชายแดนภาคใต้อุดสมสมบูรณ์มากก วันนี้ได้มาพิสูจน์ด้วยตัวเองแล้วว่าสมคำร่ำลือจริงๆ 😀
เราเดินป่าระยะสั้น 200 เมตร ใช้เวลาเดินประมาณ 15 นาที เข้าไปยังเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลา-บาลา รอบข้างรายล้อมไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ ที่ใหญ่กว่าที่เราเคยเห็นในภาคไหนๆ มองไปทางไหนก็มีแต่สีเขียวชวนให้สบายตา ระหว่างทางมีน้องเห็ด ต้นไม้ต่างๆ ให้ศึกษาอีกมากมาย เดินลึกเข้ามาเรื่อยๆ จะถึงจุดสะพานไม้ไผ่ที่สร้างข้ามผ่านลำธารเล็กๆ ที่มีน้ำใสแจ๋วไหลรินอยู่ในผืนป่า บรรยากาศตรงหน้าเราเหมือนกำลังอยู่ในการ์ตูนเรื่องโตโตโร่เลยล่ะ
เดินจากสะพานมาก็จะเจอกับต้นสมพงหรือกะพงยักษ์ อายุกว่า 100 ปี ขนาด 27 คนโอบ สูง 30 เมตร เฉพาะแค่พูพอน หรือรากที่อยู่ตรงโคนต้นอย่างเดียวก็กว้างถึง 4 เมตรแล้ว ส่วนสาเหตุที่บริเวณรากแผ่ออกกว้างขนาดนี้ พี่ไกด์ท้องถิ่นเล่าให้ฟังว่าต้นกะพงมักจะขึ้นอยู่บริเวณลำธารที่เป็นชั้นหิน พอรากหยั่งลึกลงไปในดินด้านล่างไม่ได้ เลยตัดสินใจแผ่ออกกว้างจนดูอลังการอย่างที่เห็น เป็นกลไกการปรับตัวทางธรรมชาติที่มหัศจรรย์มากๆ เลย นอกจากนี้ต้นกะพงยังเป็นไม้เศรษฐกิจด้วยนะ คนจะนำไปใช้หล่อคอนกรีต ไม้ขีดไฟ ไม้อัด และเยื่อกระดาษ
จากต้นกะพงยักษ์แนะนำให้เดินต่อไปอีกนิดก็จะเจอกับน้ำตกเล็กๆ ที่น้ำใส ไหลเย็นมากกก ออกจากป่าคอนกรีตมาเดินป่าจริงๆ ดูแล้วจะติดใจ เผลอๆ ถ้าใครโชคดี อาจจะได้เจอนกเงือกอีกด้วย (ว่ากันว่าที่ไหนมีนกเงือก ที่นั่นอุดมสมบูรณ์มาก)
เนื่องจากป่าฮาลา-บาลา เป็นป่าดิบชื้น ในป่าอาจมีทากอยู่บ้าง แนะนำให้สวมถุงเท้ากันทากหรือพกสเปรย์ฆ่าแมลงไปด้วยน้า 😀
📍ต้นกะพงยักษ์
• https://goo.gl/maps/33Rr2Ni3pSWHognr6
ถ้าให้สรุปภาพรวมของจังหวัดนราธิวาส เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่เราตกหลุมรักเข้าอย่างจัง ทั้งธรรมชาติที่ยังอุดมสมบูรณ์ สถานที่ที่ยังค่อนข้าง Unseen สำหรับนักท่องเที่ยว และผู้คนในจังหวัดก็อัธยาศัยดีมากกก ยิ้มแย้มแจ่มใส ชวนเราคุยไปตลอดทาง และที่ไม่อยากให้พลาดเลยคืออาหารใต้ท้องถิ่นสุดอร่อย แบบที่ไม่เคยทานมาก่อนถึงแม้จะลงมาเที่ยวภาคใต้หลายต่อหลายครั้ง ทำให้การมาเที่ยวนราธิวาสครั้งนี้ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ทุกคนที่นี่เขาอยู่กันอย่างสงบ สบาย และเรียบง่ายมากจริงๆ
ใครเที่ยวไทยแถวบ้านตัวเองจนครบหมดแล้ว กำลังมองหาทางเลือกอื่นๆ ที่มีครบทั้งเดินป่า ขึ้นเขา ล่องแก่ง ดูทะเลหมอก และกินอาหารโลคัลล่ะก็ เราแนะนำที่นี่อย่างหมดใจ จากตัวเองที่เคยกลัวก่อนมาที่นี่ ตอนนี้บอกเลยว่าคิดถึงและอยากกลับไปมากกก คิดถึงอาหารใต้รสมือแม่ๆ และอากาศบริสุทธิ์แบบที่ลืมไปเลยว่าเคยมีภูมิแพ้ ถึงแม้การเดินทางอาจจะต้องเตรียมตัวติดต่อเจ้าหน้าที่ ไกด์ท้องถิ่น ก่อนไปสักนิด แต่เชื่อเถอะว่านอกจากจะทำให้สบายใจแล้ว ยังช่วยให้เที่ยวสนุกขึ้นอีกเยอะเลย
ลองเก็บนราธิวาสไปเป็นไอเดียกันดูน้า รับรองว่ามาแล้วไม่ผิดหวัง 😀 ❖