9 Things in Narathiwat You Shouldn’t Miss
: ทำไมต้องไปนราธิวาส? ชวนเพื่อนๆ มาดู 9 สิ่งนี้ที่เราไม่อยากให้พลาดด้วยประการทั้งปวง
นราธิวาสน่าเที่ยวกว่าที่คิด! อยากจะชวนมาเปลี่ยนมุมมองต่อสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่าจริงๆ แล้วไม่ได้น่ากลัว เที่ยวได้และเที่ยวง่ายสำหรับทุกคน
ตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ได้ไปใช้ชีวิตอยู่ในนราธิวาส ผู้คนยังคงออกมาใช้ชีวิตกันตามปกติ พอหัวค่ำผู้คนก็เริ่มออกมากินโรตี จิบชา ตั้งวงพูดคุยกัน เราได้เห็นผู้คนที่ใจดี น่ารัก ยิ้มแย้ม ชอบเข้ามาทักทาย ที่สำคัญเป็นเมืองที่อาหารอร่อยมาก จนเรากลับมาถึงกรุงเทพฯ แล้วก็ยังอยากกินอาหารใต้อยู่เนืองๆ และถ้าพูดถึงเรื่องธรรมชาติก็อุดมสมบูรณ์ไม่แพ้กัน มีทั้งป่าผืนใหญ่ให้ออกเดินสำรวจและมีทะเลหมอกให้ดู ชุ่มชื่นหัวใจมากๆ 😀
เราเลยอยากชวนมาป้ายยากับ 9 ข้อที่จะทำให้นราธิวาสกลายเป็นจุดหมายปลายทางของเพื่อนๆ ในครั้งต่อไป ตามมาดูกันเลย
Exploring Thailand’s Peat Swamp Forest
: สำรวจป่าพรุโต๊ะแดงที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดผืนสุดท้ายในประเทศไทย
เชื่อแล้วว่าจังหวัดนราธิวาสธรรมชาติเขาอุดมสมบูรณ์จริงๆ หนึ่งในนั้นคือป่าพรุโต๊ะแดง ป่าพรุที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดผืนสุดท้ายในประเทศไทย
ป่าพรุคือ ป่าในพื้นที่ชุ่มน้ำ เป็นสังคมพืชป่าไม้ไม่ผลัดใบ (Evergreen Forest) อีกแบบหนึ่ง เกิดจากพื้นที่ที่มีน้ำจืดท่วมขังติดต่อกันเป็นเวลานาน นานวันเข้าฝนตกลงมา น้ำเดิมจะค่อยๆ เติมเต็มจนกลายเป็นแอ่ง มีวัชพืช มีสัตว์มาอาศัยอยู่ และเกิดการทับถมของซากพืชเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นระบบนิเวศเฉพาะตัว หรือพูดภาษาง่ายๆ คือพื้นที่ที่น้ำท่วมขังแต่ไม่เน่า แถมกลายเป็นป่าอีกต่างหาก มหัศจรรย์มากๆ
“ป่าเดียว น้ำเดียว ในแดนดิน” คือคำขวัญที่บ่งบอกได้ถึงความอุดมสมบูรณ์ของป่าพรุแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นป่าพรุที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและสมบูรณ์ที่สุดในเมืองไทย มีพันธุ์ไม้กว่า 500 ชนิด ทั้งไม้บกและไม้น้ำ ต้นสาคูที่เป็นต้นกำเนิดของขนมสาคูก็มีอยู่ที่นี่ด้วยนะ นอกจากนั้นยังมีสัตว์ป่าหายากใกล้สูญพันธุ์และนกกว่า 195 ชนิดอีกด้วย
ในป่ามีสะพานไม้ทอดยาวให้เดินเป็นระยะทางประมาณ 1 กม. ไม่สั้นไม่ยาวเกินไป แถมระหว่างทางยังมีต้นไม้พร้อมแปะป้ายชื่อให้เดินชม และอาจจะเจอน้องลิงกำลังปีนป่ายอยู่ด้วยนะธรรมชาติมากๆ ส่วนที่เป็นไฮไลท์เลยก็คือบ่อน้ำขังที่ตอนนี้กลายเป็นบ่อบัวอันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยจอกแหน มองแล้วเหมือนกำลังเดินอยู่ในภาพวาดของ Monet ยังไงยังงั้น
อยากให้ทุกคนได้มา รับรองเดินจนเพลินแน่นอน : )
Kayaking in the Saiburi River, near the Village
: ล่องแก่งในลำธารหลังหมู่บ้าน ต้นแม่น้ำสายบุรี
จะดีแค่ไหนถ้าตอนเย็นๆ ช่วงแดดร่มลมตก ได้มาพายคายัคเล่นชิลๆ ในลำธารหลังหมู่บ้าน ใช่แล้วสิ่งนี้สามารถมาทำได้ที่บ้านภูเขาทองและบ้านจุฬาภรณ์พัฒนา 12
ถ้ามาถึงนราธิวาสแล้วไม่อยากให้พลาดกิจกรรมล่องแก่งเลย เพราะที่นี่คือการล่องแก่งในต้นน้ำสายบุรี สายน้ำที่หล่อเลี้ยงชีวิตของชาวสุคิริน คำที่ว่าน้ำใส ไหลเย็น เห็นตัวปลาสามารถหาได้ที่นี่ เพราะน้ำใสมากก ใสจนมองลงไปเห็นตะกอนหินด้านล่างเลย และตลอดสองข้างทางยังร่มรื่นไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่ม ลมพัดเย็นสบาย น้ำไหลแรงกำลังดี พอมีโขดหินอยู่บ้างให้ตื่นเต้นใจ ทำให้พายเรือไปได้เรื่อยๆ แบบไม่ยากเย็นจนเกินไปนัก พายเรือไปเรื่อยๆ และเอ็นจอยกับวิวตรงหน้าได้อย่างเต็มที่ อย่าลืมเอาตัวลงไปจุ่มในน้ำเย็นๆ ด้วยนะ : )
แต่ก็เหมือนกับการล่องแก่งในที่อื่นๆ คือจะต้องระวังเรื่องระดับน้ำกันสักนิดนึง ถ้าวันไหนฝนตกหนักก็จะไม่สามารถล่องแก่งได้น้า ทางที่ดีที่สุดคือเช็คกับทางบ้านภูเขาทองและบ้านจุฬาภรณ์พัฒนา 12 ก่อนมาให้เรียบร้อย ก็จะสามารถพายเรือได้ปลอดภัยหายห่วงแล้ว
Enjoy Eating Local Food
: อิ่มอร่อยไปกับอาหารโลคัลพื้นถิ่นแท้ๆ
หากเพื่อนๆ เป็นคนนึงที่ไม่กินเผ็ด อยากให้ลองเปิดใจให้อาหารใต้แบบฉบับนราธิวาสดู เพราะเป็นที่ที่เรากินอาหารใต้ได้อย่างอิ่มหนำสำราญ จนต้องขอเติมจานที่ 2 อยู่บ่อยๆ ถ้าจะบอกว่าเจริญอาหารเป็นพิเศษก็คงจะไม่ผิดนัก อยากมาแชร์อาหารโลคัลที่เราชอบเป็นพิเศษ เป็น Checklist ว่าถ้ามานราธิวาสแล้วต้องห้ามพลาดเลย 😀
อันแรกขอยกให้ชาชัก หรือชาเย็น ที่คนที่นี่จะเรียกว่า “แต” ที่มาจาก Tea เขาจะสั่งมากินคู่กับโรตีกัน แต่ค่อนข้างจะหวานมากเป็น default ถ้าใครไม่กินหวานแนะนำให้สั่งหวานน้อยมากๆๆๆ แบบไม้ยมก 2 ตัวขึ้นไป จะได้รสชาติอร่อยกำลังดี หรือถ้าใครอยากลองชาร้อนแบบไม่มีนมข้นให้สั่งว่า “แตออ” ก็จะได้ชาดำร้อนใส่น้ำตาลมาแทน อร่อยไม่แพ้กัน
เมนูโลคัลต่อมาคือข้าวยำ ในจานประกอบด้วยผักต่างๆ เช่น ดอกดาหลา ถั่วฝักยาว แตงกวา ใบมะกรูด และมะพร้าวคั่ว กินกับข้าวสีน้ำเงินสวยจากดอกอัญชัน ราดน้ำบูดูหวานๆ แล้วคลุกให้เข้ากัน ก็จะได้ข้าวยำรสชาติกลมกล่อม
ส่วนเมนูอาหารใต้ประจำถิ่นของหมู่บ้านจุฬาภรณ์พัฒนา 12 เราขอยกให้ชาอูบีซาไกเป็นเมนูโปรด เป็นชาที่ทำมาจากสมุนไพรที่หาได้ในละแวกนี้เท่านั้น ยิ่งดื่มตอนร้อนช่วยให้คล่องคอมากๆ นอกจากนั้นที่นี่ยังมีต้มยำคอมมิวนิสต์ ต้มยำรสเปรี้ยวกำลังดีที่มีที่มาจากเมื่อก่อนชาวคอมมิวนิสต์มาลายาอยากกินต้มยำเปรี้ยวๆ แต่ไม่มีวัตถุดิบ เลยนำสมุนไพรที่หาได้ในป่ามาทำเป็นเมนูใหม่ขึ้นมาทดแทน กินกับข้าวสวยร้อนๆ บอกเลยว่าอร่อยมากก
อีกเมนูโปรดของเราอยู่ที่อำเภอตากใบ คือเมนูปลากุเลาเค็ม เป็นของฝากห้ามพลาดจากนราธิวาสเลย เค็มๆ มันๆ บีบมะนาวใส่หน่อย อร่อยกำลังดี 😀
.ชวนมาเปิดใจและมาผจญภัยในความหลากหลายทางรสชาติของอาหารนราธิวาสกันดูนะ
สารภาพว่ากลับมากรุงเทพฯแล้ว ยังหยุดคิดถึงอาหารใต้ไม่ได้เลย : )
Meeting the Friendly Locals
: คุยกับคนใต้ที่สุดแสนจะเฟรนด์ลี่
ว่ากันว่าคนใต้หน้าดุ แต่บอกเลยว่าใจดีกว่าที่คิดน้า
ตลอดทั้งทริปเราได้รับการต้อนรับอย่างดีจากคนนราธิวาส บ้างยิ้มให้ บ้างเข้ามาชวนคุย บ้างก็แถมขนมให้กิน คนที่นี่ไม่ได้น่ากลัวเลย แต่กลับใจดีและอัธยาศัยดีมากๆ เราอยากรู้อะไรทุกคนก็พร้อมให้ความรู้กันแบบไม่กั๊ก ตามร้านอาหาร ร้านรวงต่างๆ หรือตามตลาดทุกคนก็มีใจบริการ พูดเพราะและยิ้มแย้มอย่างเป็นมิตรเสมอ 😀
ใครตัดสินใจมาเที่ยวนราธิวาสลองชวนคนในพื้นที่คุยดู รับรองว่าได้ต่อบทสนากันยืดยาวแน่นอน 😀
Getting to Know Narathiwat’s Culture & Diversity
: เรียนรู้วัฒนธรรมและความหลากหลายของนราธิวาส
นราธิวาสเป็นจังหวัดที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ศาสนา และภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขของคนหลากหลายเชื้อชาติในปลายด้ามขวานแห่งนี้ : )
ศิลปะที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวนราธิวาสเลยก็คือเรือกอและที่เห็นในรูปนี้ เนื่องจากเป็นพื้นที่ติดทะเล ที่นี่เลยมีอาชีพทำประมงกันเป็นส่วนใหญ่ แทนที่จะแต่งรถเขาก็เลยแต่งเรือกัน แล้วแต่งกันจริงจังมากกกก ทั้งทาสี วาดลวดลายเป็นรูปสัตว์จนเต็มลำเรือ เป็นการผสมผสานลายจาก 3 วัฒนธรรมเข้าด้วยกันทั้ง ไทย จีน มลายู จึงทำให้เรือกอและแตกต่างไปจากเรือประมงทั่วไปนั่นเอง
▪️ พิพิธภัณฑ์
ถ้าหากอยากเห็นภาพรวมของนราธิวาสทั้งวัฒนธรรม ของกินที่ห้ามพลาด และประวัติความเป็นมา แนะนำให้ไปที่พิพิธภัณฑ์เมืองนรา ซึ่งได้รวมประวัติของนราธิวาส ทั้งห้องจำลองบรรยากาศเมือง ห้องพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ ห้องชาติพันธุ์ ห้องช่างฝีมือชาวบ้าน ห้องสถาปัตยกรรม แต่ละห้องข้อมูลแน่น เข้าใจง่าย ช่วยให้เราเห็นภาพรวมๆ ของนราธิวาสได้มากขึ้น
นอกจากพิพิธภัณฑ์เมืองนราแล้วยังมีพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นขุนละหาร ภายในจัดเก็บรวบรวมเครื่องมือเครื่องใช้ท้องถิ่น เช่น กริช อุปกรณ์ทำประมง เครื่องครัว เครื่องจักสานต่างๆ ให้ชมด้วย
▪️เชื้อชาติและศาสนาส่วนด้านศาสนาคนที่นี่เป็นชาวมุสลิมกันเสียส่วนใหญ่ เลยมักจะเห็นมัสยิดอยู่ระหว่างทางบ่อยๆ มาถึงนี่ เราได้แวะกันที่มัศยิดวาดีลฮูเซ็น (มัสยิด 300 ปี) มัสยิดที่ผสมผสานระหว่างศิลปะมลายู ไทย และจีนเข้าด้วยกัน จุดเด่นคือที่นี่สร้างโดยไม่ใช่ตะปูเลยสักตัวเดียว แต่ใช้การเข้าไม้แทน และใช้ไม้ตะเคียนทั้งหลังในการสร้าง ไม่ว่านับถือศาสนาก็สามารถมาเข้าชมได้น้า
คนไทยเชื้อสายจีนที่นี่ก็มีเยอะไม่แพ้กันเลยจะเห็นได้จากวัฒนธรรมการกินที่สุไหงโกลก และในบางแห่งก็จะมีศาลเจ้าแม่ เช่นศาลเจ้าแม่โต๊ะโมะ ที่ตำบลภูเขาทอง ถ้าใครมาแล้วแวะไปขอพรกันได้ 😀
Strolling around the Southernmost City of Thailand
: เดินเที่ยวรอบเมืองนราธิวาส เมืองที่อยู่ใต้สุดของประเทศไทย
จังหวัดนราธิวาสเป็นจังหวัดชายแดนใต้สุดของประเทศไทยที่หลายคนอาจมองว่าน่ากลัว ตอนแรกเราเองก็แอบกังวลแต่พอมาถึงจริงๆ แล้วบรรยากาศที่นี่ก็เหมือนจังหวัดอื่นๆ สงบ เรียบง่าย ผู้คนออกมาใช้ชีวิตตามปกติ ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดเลย
.เราลงไปเดินเล่นในตัวเมืองนราธิวาส แถวๆ หาดนราทัศน์ ซึ่งถือเป็นหาดที่คนส่วนใหญ่นิยมมาพักผ่อน หย่อนใจกัน เดินมาเรื่อยๆ ก็จะเห็นวิถีชีวิตชาวประมงและอุปกรณ์คู่กายอย่างเรือกอและ รวมถึงบรรยากาศยามเย็นที่ชาวประมงเริ่มกลับมาจากการหาปลา ถ้าหัวค่ำหน่อยก็แนะนำให้ออกมานั่งร้านชา กินโรตี จิบชาร้อน ก็จะได้ซึมซับวัฒนธรรมของชาวนราได้อย่างเต็มอิ่มเลยล่ะ
Finding Gold in the Saiburi River
: ตามหาทองในต้นน้ำสายบุรี
การร่อนทองนิยมทำกันมากในตำบลภูเขาทอง อำเภอสุคิริน โดยชาวบ้านร่อนทองกันมาตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ปัจจุบันเป็นแหล่งรายได้เสริมนอกเหนือจากการทำเกษตรและสวนยาง
การร่อนทองต้องใช้ “เลียง” ทำมาจากไม้ที่หาได้ง่ายและคงทนในตำบลภูเขาทอง ชาวบ้านเล่าให้ฟังว่าแต่ละคนจะมีเลียงคู่กาย ถ้าเลียงไหนใช้หาทองได้เยอะ ก็จะใช้เลียงนั้นไปเรื่อยๆ ไม่เปลี่ยน เพราะเชื่อว่าเลียงนี้เป็นเลียงนำโชคนั่นเอง
วิธีการร่อนทอง คือต้องเริ่มตั้งแต่ตักดินมาใส่ในเลียง แล้วเอาค่อยๆ เอาไปร่อนในน้ำจนดินออกหมด ก็จะเห็นแร่ทองเล็กๆ ติดอยู่ในเลียง หลังจากนั้นชาวบ้านก็จะเก็บสะสมใส่ขวดไปเรื่อยๆ แล้วจึงนำไปขาย ว่ากันว่าบางวันถ้าโชคดีหน่อยจะเก็บได้ถึง 60 กรัมเลยทีเดียว
ถ้าใครมาเที่ยวตำบลภูเขาทอง กิจกรรมร่อนทองเป็นอีกกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดเลย ที่นี่เขาให้ทองที่เราร่อนเจอกลับบ้านไปด้วยนะ
Embracing Giant Kaphong Tree in The Hala-Bala Forest
: เดินป่าสำรวจต้นกะพงยักษ์ขนาด 27 คนโอบในป่าฮาลา-บาลา
การจะเดินเข้าไปสำรวจต้นกะพงยักษ์ได้ต้องเดินป่าระยะสั้นเข้าไปในป่าฮาลา-บาลา ซึ่งเป็นป่าดิบชื้นที่ยังอุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง เต็มไปด้วยพันธุ์ไม้และเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของนกเงือกกว่า 10 ชนิด จาก 13 ชนิดที่พบได้ในประเทศไทย (ว่ากันว่าป่าที่มีนกเงือกแสดงว่าอุดมสมบูรณ์มาก) และสัตว์ป่าหายากอีกหลายชนิด
ต้นสมพงหรือกะพงยักษ์ อายุกว่า 100 ปี ขนาด 27 คนโอบ สูง 30 เมตร เฉพาะแค่พูพอน หรือรากที่อยู่ตรงโคนต้นอย่างเดียวก็กว้างถึง 4 เมตรแล้ว ส่วนสาเหตุที่บริเวณรากแผ่ออกกว้างขนาดนี้ พี่ไกด์ท้องถิ่นเล่าให้ฟังว่าต้นกะพงมักจะขึ้นอยู่บริเวณลำธารที่เป็นชั้นหิน พอรากหยั่งลึกลงไปในดินด้านล่างไม่ได้ เลยตัดสินใจแผ่ออกกว้างจนดูอลังการอย่างที่เห็น เป็นกลไกการปรับตัวทางธรรมชาติที่มหัศจรรย์มากๆ เลย นอกจากนี้ต้นกะพงยังเป็นไม้เศรษฐกิจด้วยนะ บางทีจะถูกนำไปใช้ในการหล่อคอนกรีต ไม้ขีดไฟ ไม้อัด และเยื่อกระดาษ
ระหว่างทางที่เดินมายังต้นกะพงยักษ์ บรรยากาศรอบๆ เขียวน่ารักเหมือนอยู่ในการ์ตูน Ghibli เลย ถ้าใครมาเที่ยวตำบลภูเขาทองอย่าลืมแวะมากอดต้นกะพงยักษ์นี้กัน 😀
Catching Sunrise in a Sea of Fog at Pha Nub Dao
: ดูทะเลหมอกหนาๆ ที่ผานับดาว
ถ้าใครยังไม่เคยเห็นทะเลหมอกหนาๆ ควรจะหาเวลามาเที่ยวผานับดาวดูสักครั้ง
หมอกที่ผานับดาวจะเริ่มก่อตัวตั้งแต่หัวค่ำ และเริ่มเป็นทะเลหมอกตั้งแต่ตีสามไปจนถึงเช้า ไฮไลท์จะอยู่ที่ช่วงเช้าตอนพระอาทิตย์ขึ้น แสงแดดอ่อนๆ ตกกระทบลงบนปุยหมอกสีขาวนวล มาแล้วสามารถมองเห็นทะเลหมอกได้ 360 องศาเลย หมอกแน่นและเยอะมากก.
แม้ทางขึ้นจะชันไปสักหน่อยแต่เราว่าคุ้มค่ากับการเดินขึ้นแน่นอน แค่นิดเดียวก็เห็นทะเลหมอกแน่นๆ แบบนี้แล้ว เรียกว่าเป็นเช้าที่ดีมากๆ อยากตื่นมาเจอทะเลหมอกแบบนี้ทุกวันเลย 😀 ❖