Flowers Symbolism in Art and Painting
ตามหาความหมายของดอกไม้ในงานศิลปะ
เวลามองดอกไม้แล้วนึกถึงอะไรกัน?
เชื่อว่าความคิดแรกที่ผลิบานออกมาคงหนีไม่พ้นความงดงาม อ่อนโยนและอ่อนหวานและดูโรแมนติก
ดอกไม้ก็เหมือนกับทุกสิ่งบนโลกนี้ มีออกผล ร่วงโรย และมีความหลากหลายแตกต่างกันไป หากแต่ความงามของมันเชื้อเชิญให้มนุษย์อยากดมและอยากครอบครอง จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมดอกไม้ถึงไม่เคยหายไปจากชีวิตประจำวันของเราเลย
ดอกไม้ดอกเดียวกัน ให้คนละอาชีพมอง สิ่งมีชีวิตอื่นมอง ก็อาจจะชอบไม่เหมือนกัน ตีความออกมาไม่เหมือนกัน ได้กลิ่นต่างกัน ความหลากหลายและคาดเดาไม่ได้นี้เอง คงจะเป็นเสน่ห์อีกอย่างของดอกไม้นอกจากความงามเปลือกนอก
วันนี้เราจะพามาดูดอกไม้ที่นำเสนอผ่านฝีแปรงของศิลปินชื่อดังระดับโลกกันว่าพวกเขามองดอกไม้ยังไง มีความหมายอะไรซ่อนอยู่
จากการรวบรวมผลงานมาฝากทุกคน เราเองก็ได้เรียนรู้ว่าดอกไม้ไม่จำเป็นต้องมองได้แบบเดียว แต่จะมองแบบไหนก็ล้วนแล้วแต่ใครเป็นคนมองมากกว่า : )
Sunflower | ดอกทานตะวัน
▪︎ Sunflowers (1888)
by Vincent van Gogh
: ดอกทานตะวันบำบัดจิตใจ คลายความเศร้าหมอง
หลายคนน่าจะคุ้นเคยกันดีกับภาพวาดดอกทานตะวัน ฝีแปรงหนักแน่นของแวนโก๊ะ หากแต่ชีวิตจริงของศิลปินชื่อก้องโลกคนนี้อาจจะไม่สดใสเหมือนสีเหลืองที่เขาใช้ในภาพเท่าไหร่นัก แต่ท่ามกลางมรสุมชีวิต แวนโก๊ะค้นพบความสุขและแง่งามบางอย่างผ่านการวาดดอกทานตะวัน
เขาชอบดอกทานตะวันขนาดที่เขียนจดหมายถึงน้องชายตัวเองไว้ว่า “ความตั้งใจของฉันคือการทำงานในสตูดิโอแห่งนี้กับโกแก็ง ฉันเลยต้องหาอะไรมาตกแต่งห้องของฉันเสียหน่อย และ แน่นอนว่ามันจะต้องเป็นทานตะวันดอกยักษ์เท่านั้น” นอกจากนั้นยังมี “รู้ไหมว่าโกแก็งชอบมันมากๆ เลยล่ะ แล้วรู้ไหมหากจะพูดถึงดอกไม้ ถ้า Jeannin มีดอกพีโอนี่ Quost มีดอกฮอลลี่ ฮ็อค ฉันก็มีดอกทานตะวันเหมือนกัน”
จะเรียกว่าแวนโก๊ะ เป็นคนคลั่งรักดอกทานตะวันก็ได้เหมือนกันนะเนี่ย
Flower Garden | สวนดอกไม้
▪︎ Flower Garden (1905)
by Gustav Klimt
: ประทับใจในทัศนียภาพอันงดงามของเมือง Litzlberg ในประเทศออสเตรีย
เป็นอีกหนึ่งภาพที่เราชอบเลย เพราะมีดอกไม้เล็กใหญ่หลากสี หลายไซส์โทนพาสเทลรวมกันอยู่ในภาพเดียว
สวนดอกไม้นี้กุสทัฟ คลิมท์ วาดขึ้นจากความประทับใจทัศนียภาพอันสวยงามของเมือง Litzlberg ในประเทศออสเตรีย ช่วงฤดูร้อน โดยภาพนี้ได้รับยกย่องว่าเป็นภาพแลนด์สเคปที่สวยที่สุดของกุสทัฟ คลิมท์เลย
ก็จริงอย่างที่เขาว่า มองแล้วเหมือนดอกไม้มีชีวิต กำลังผลิบานและพลิ้วไหวท่ามกลางสายลมเลย
Water Lily | ดอกบัวสาย
▪︎ Water Lilies Series (1899)
by Claude Monet
: ดอกบัวที่สื่อถึงความภาคภูมิใจในสวนที่ดูแลเป็นอย่างดี
Claude Monet หรือที่เรารู้จักกันในชื่อโมเน่ต์ เป็นจิตรกรชาวฝรั่งเศสผู้หลงใหลในธรรมชาติ โดยเฉพาะแสงแดดและก้อนเมฆที่สะท้อนบนผิวน้ำ กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ภาพเขียนของเขาหลายต่อหลายชิ้นเลยล่ะ
สำหรับภาพนี้เป็นหนึ่งในชุด Water Lilies ของโมเน่ต์ แรงบันดาลใจมาจากความที่โมเน่ต์อินกับศิลปะตะวันออกมากๆ เขาเลยตั้งใจตกแต่งสวนหลังบ้านของตัวให้ออกมาเป็นสไตล์ญี่ปุ่น อินแค่ไหนก็ดูได้จากภาพวาดที่ออกมาในสไตล์วะบิ-ซะบิ ที่เกิดจากการเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น แสงแดด น้ำไหล น้ำนิ่ง หรือเงาของดอกบัวในสระนั่นเอง
ว่ากันว่าช่วง 30 ปีสุดท้ายของชีวิตโมเน่ต์ทุ่มเทให้กับการทำสวนญี่ปุ่นมาก เขามีความสุขกับการคอยสังเกตและวาดภาพสวนในช่วงเวลาต่างๆ ถึงขนาดเคยพูดไว้ว่า “ผมไม่เก่งอะไรเลยนอกจากเขียนภาพและทำสวน”
Tulip | ดอกทิวลิป
▪︎Tulip from Her Tulip Book (1643)
by Judith Leyster
: ดอกทิวลิปที่วาดในช่วงที่คนเนเธอร์แลนด์เกิดปรากฏการณ์คลั่งรักดอกทิวลิป
ส่วนตัวเราเป็นแฟนตัวยงของดอกทิวลิปเลยล่ะ รู้ทั้งรู้ว่าเป็นไม้เมืองหนาว ในบ้านเราเอามาใส่แจกันได้ไม่กี่วันก็เหี่ยวแล้ว แต่ก็ยังซื้อมาอยู่บ่อยๆ เพราะน้องทิวลิปเขาแสนน่ารักเกินต้าน เหมือนกับผลงาน Tulip from Her Tulip Book ของ จูดิธ เลย์สเตอร์ เลย
จูดิธ เลย์สเตอร์ วาดดอกทิวลิปในช่วงที่คนเนเธอร์แลนด์เกิดปรากฏการณ์คลั่งรักดอกทิวลิป ตอนนั้นดอกทิวลิปพันธุ์แปลก หายากจะถูกประมูลในราคาที่สูงมาก พอๆ กับราคาบ้านหนึ่งหลังเลยทีเดียว ดังนั้นภาพดอกทิวลิปของจูดิธเลยเป็นที่ต้องการของตลาดในช่วงนั้น เพราะคนสู้ราคาดอกทิวลิปจริงๆ ในตลาดไม่ไหวนั่นเอง
Poppy | ดอกป๊อปปี้
▪︎ Ophelia (1852)
by John Everett Millais
: ดอกป๊อปปี้ในสมัยวิคตอเรียหมายถึงการนอนหลับและความโศกเศร้า
เห็นภาพนี้ครั้งแรกก็ได้แต่คิดในใจว่าสวยจัง ประณีตและละเอียดลออราวกับเหมือนอยู่ในเทพนิยาย
ภาพหญิงสาวลอยน้ำท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้ที่อยู่รอบๆ นี้เป็นผลงานของจอห์น เอเวอเรตต์ มิเล ศิลปินชื่อดังชาวอังกฤษ โดยเขาวาด Ophelia ตัวละครเอกในวรรณกรรมเรื่อง Hamlet ของวิลเลียม เชกสเปียร์ ซึ่งเป็นตอนที่เธอกำลังร้องเพลงขณะลอยอยู่ในแม่น้ำเดนมาร์กก่อนจะเสียชีวิต
นอกจากดอกไม้จะอยู่ในบทละครแล้ว ยังสื่อถึงภาษาดอกไม้ที่ใช้กันในสมัยวิคตอเรียด้วย เช่น ดอกป๊อปปี้สีแดงสดในภาพนี้ก็สื่อถึงการนอนหลับและความตายนั่นเอง เรียกว่าเป็นภาพที่สวย แถมมีที่มาที่ไป และแอบซ่อนความหมายของดอกไม้เอาไว้ได้อย่างแนบเนียน
Rose | ดอกกุหลาบ
▪︎ Garçonà la pipe (1905)
by Pablo Picasso
: Rose Period ช่วงเวลาแห่งการหลุดพ้นจากความเศร้า
ช่วงแรกภาพวาดของปิกัสโซจะเน้นการใช้สีเดียวเป็นหลัก โดยเขาเลือกใช้เฉดสีฟ้าในการวาด ไล่ไปตั้งแต่ฟ้าอ่อนไปจนถึงฟ้าเข้ม เพื่อสะท้อนความเศร้าอย่างรุนแรงจากการฆ่าตัวตายของเพื่อนสนิท
จากคนที่ใช้สีฟ้ามาทั้งชีวิต วันหนึ่งเขาเริ่มวาดภาพดอกรักเร่ในผลงานที่ชื่อว่า A Blue Vase (1903) เป็นผลงานแรกที่สีแสด โทนร้อนเริ่มปรากฎในภาพของเขา หลายคนจึงตีความว่าดอกรักเร่นี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่ยุค Rose Period ที่เขาเริ่มหลุดพ้นจากความเศร้าหมองภายในจิตใจแล้ว
ผลงานที่โดดเด่นในยุค Rose Period คือ Garçonà la pipe เขาวาดเด็กชายชาวปารีสคนหนึ่งที่สวมมงกุฎดอกไม้ กำลังถือไปป์อยู่ในมือซ้ายและรายล้อมไปด้วยดอกกุหลาบสีโทนร้อนตัดกับชุดสีน้ำเงินโทนเย็น
ดอกกุหลาบหมายถึงความรักและความปรารถนา แต่สำหรับปิกัสโซแล้วเจ้าดอกสีแดงนี้คงจะหมายถึงการที่ตัวเองได้หลุดพ้นจากความเศร้าเสียที : )
Hibiscus | ดอกชบา
▪︎ Hibiscus (1845)
by Hiroshige
: ตัวแทนความอ่อนโยนและใช้มอบให้แขกคนสำคัญ
ตั้งแต่ช่วงก่อนวิทยาศาสตร์ ชาวเอเชียตะวันออกอย่างจีนและญี่ปุ่นก็มีภาพวาดดอกไม้มากมายที่ใช้สื่อถึงความสวยงาม ความไม่ยั่งยืนของชีวิตเสมอมา ดังนั้นดอกไม้จึงผูกผันกับชีวิตชาวอาทิตย์อุทัยมาอย่างยาวนาน
ดอกชบาสีส้มฉูดฉาดนี้ตามภาษาดอกไม้ของญี่ปุ่น (Hanakotoba) หมายถึงความอ่อนโยน และตามประเพณีจะมอบดอกไม้เหล่านี้ให้แก่แขกหรือผู้มาเยือนคนสำคัญด้วย
Jack in the Pulpit | ดอกมังกรสีน้ำตาล
▪︎Jack-in-the-Pulpit (1930)
by Georgia O’Keeffe
: สัญลักษณ์สื่อถึงเพศหญิงได้อย่างล้ำลึก
เอกลักษณ์ของศิลปินสาวชาวอเมริกัน จอร์เจีย โอคีฟฟ์คือเธอมักจะวาดดอกไม้ขนาดใหญ่ ในระยะใกล้จนแทบไม่เห็นพื้นหลังเลย
ภาพที่เราเห็นแล้วชอบมากและอยากเอามาให้ทุกคนดูคือภาพดอก Jack in the Pulpit หรือดอกมังกรสีน้ำตาล เป็นภาพที่ซูมเข้าตรงกลางดอกมากๆ บ้างก็วิเคราะห์กันว่าเธออยากสะท้อนแนวคิดเรื่องเพศ บ้างก็บอกว่าเธอน่าจะวาดอวัยวะเพศหญิง แต่จอร์เจีย โอคีฟฟ์ บอกเอาไว้ว่าที่เธอวาดดอกไม้ใหญ่ขนาดนั้น เพราะอยากให้คนที่เห็นตั้งใจมองดอกไม้อย่างจริงจังมากกว่ามองแค่ผิวเผินเท่านั้น
ยังมีภาพที่น่าสนใจอีกหลายภาพเลย ใครชอบภาพดอกไม้แนวแปลกใหม่ น่าจะชอบเหมือนกันกับเรา
Peony and Iris | ดอกโบตั๋นและไอริส
▪︎ Peonies and Irises (1936)
by – Emil Nolde
: ความงดงามของสวนสมัยใหม่ในช่วงยุค 1900
เอมิล นอลเดอโด่งดังจากภาพดอกโบตั๋นและดอกไอริสสีสันสดใส แต่ในขณะเดียวกันก็ดูทรงพลังอย่างบอกไม่ถูก
ภาพนี้เอมิล นอลเดอได้แรงบันดาลใจมาจากตอนที่เขาและภรรยาย้ายมาอยู่ที่รัฐ Schleswig-Holstein ของเยอรมัน พวกเขาชอบสวนที่เต็มไปด้วยดอกรูดเบ้กเกียร์สีเหลือง (ตระกูลเดียวกับดอกทานตะวัน) ดอกรักเร่สีสด และดอกกุหลาบสีชมพูสวย หลังจากนั้นเขาก็เริ่มวาดดอกไม้ด้วยสีน้ำมันบนผืนผ้าใบที่ให้ทั้งความรู้สึกสดใสและทรงพลังไปพร้อมๆ กัน
อย่างภาพดอกโบตั๋นและไอริสนี้ก็แสดงให้เห็นถึงความสวยงามของสวนสมัยใหม่ที่ประดับตกแต่งไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ผ่านสายตาของศิลปิน Expressionist ชาวเยอรมันผู้นี้
Hibiscus | ดอกชบา
▪︎ Five Foot Flowers (1970)
by Andy Warhol
: ดอกไม้สไตล์ป๊อปที่สื่อถึงความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง
ใครเคยเห็นภาพพิมพ์ดาราสาวสุดเซ็กซี่อย่าง มาริลิน มอนโร หรือกระป๋องซุป Campbell’s ที่เอามาเรียงต่อกันด้วยสีสันสดใสฉูดฉาดบ้าง? เริ่มคุ้นๆ กันแล้วใช่มั้ยล่ะ วันนี้เราจะพามาดูดอกชบาของแอนดี วอร์ฮอลราชาแห่งวงการ Pop Art กัน
ภาพดอกชบาสีสันสดใสแสนฉูดฉาดนี้ แอนดี วอร์ฮอลได้แรงบันดาลใจมาจากภาพของช่างภาพคนหนึ่ง แล้วเอามาปรับเปลี่ยนให้เป็นสไตล์ป๊อป จนเกิดการฟ้องร้องกันขึ้นว่าแอนดี้ขโมยภาพเอาไปใช้ ซึ่งเขาก็ยอมรับแต่โดยดีว่าเอาภาพมาใช้จริงๆ นะ เพราะเชื่อที่ว่างานศิลปะไม่จำเป็นต้องสร้างสรรค์ใหม่ก็ได้ แค่แต่งเติมให้เป็นสไตล์ของตัวเองก็สร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้เหมือนกัน
ถึงแม้ภาพดอกชบานี้จะเป็นที่ถกเถียงของหลายคน แต่ก็ต้องยอมรับว่าภาพนี้เป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินรุ่นใหม่ๆ ให้กล้าสร้างสรรค์งานศิลปะมากขึ้นจริงๆ ❖