7 Bread Time Stories | ขนมปังหลากสัญชาติจากทั่วโลก
ไหน ไหนช่วงนี้กำลังฮิตครัวซองต์กันเหรอ
ขอตามกระแสหน่อยแล้วกันเนอะ
เชื่อว่าหลายคนน่าจะคุ้นเคยกับ ‘ขนมปัง’ กันดีอยู่แล้ว เจ้าก้อนแป้งนี้อยู่ในอาหารเช้า อาหารกลางวัน รวมถึงอาหารว่างยามท้องร้อง ไม่ว่าจะอยู่ในภูมิภาคไหนของโลก ขนมปังก็ทำตัวกลมกลืนไปกับคนทุกชาติ ทุกภาษาได้อย่างแนบเนียน ถ้าจะให้อธิบายง่ายๆ ขนมปังคือแป้งกับน้ำที่ผ่านกระบวนการนวดและหมักให้ขึ้นฟูด้วยยีสต์ธรรมชาติหรือยีสต์สังเคราะห์ประเภทสร้างแก๊ส แล้วจึงนำไปอบ นึ่ง หรือทอด ก็จะได้ออกมาเป็นขนมปังแสนอร่อย
เอกลักษณ์ของขนมปังคือความนุ่ม เหนียว มีรูอากาศเล็กๆ แทรกอยู่ตามเนื้อ แต่การจะจำแนกว่าอะไรจัดเป็นขนมปังบ้าง ต้องดูไปถึงเนื้อสัมผัส วัตถุดิบ รวมถึงกระบวนการทำเลยทีเดียว จะเห็นว่าศาสตร์การทำขนมปังนั้นลึกซึ้งกว่าที่เราคิดมากๆ ไม่ใช่แค่นวดแป้ง เข้าเตาอบ แล้วจบไป
ในฐานะคนชอบกินขนมปัง วันนี้เลยอยากชวนทุกคนมาท้องร้อง เอ้ย! มาดูกันว่าแต่ละประเทศเขากินขนมปังแบบไหนกัน แต่ละอันมีที่มาที่ไปยังไงกันบ้าง เผื่อจะได้รู้จักขนมปังแต่ละชนิดให้มากขึ้นอีกสักหน่อย : )
*คำเตือน ดูรูปแล้วระวังท้องร้อง
• Brioche – France
บริยอช (Brioche) ขนมปังเก่าแก่สุดคลาสสิกของฝรั่งเศส จะมีส่วนผสมของเนยเยอะเป็นพิเศษ ทำให้มีความนุ่ม รสชาติและกลิ่นที่หอมกว่าขนมปังปกติทั่วไป ยิ่งถ้าเป็นคนชอบกินขนมปังนุ่มฉ่ำเนยแบบเราแค่นึกถึงกลิ่นก็ลอยมาแล้ว
ต้นกำเนิดของบริยอช หลายคนเชื่อว่าเป็นสูตรของชาวนอร์มัน ที่อาศัยอยู่แถบชายฝั่งนอร์มังดี เพราะคำว่า Brioche มาจาก “Brier” คำเก่าในฝรั่งเศส ซึ่งออกเสียงคล้ายกับคำว่า “Broyer” ในภาษานอร์มันที่แปลว่านวดนั่นเอง แต่บางคนก็บอกว่ามาจากประเทศโรมาเนีย ฝั่งยุโรปตะวันออก เพราะมีขนมปังที่ลักษณะคล้ายๆ กัน
ในช่วงแรกบริยอชยังไม่ได้ฉ่ำเนยมากนัก แต่พอช่วงศตวรรษที่ 16 ทางเหนือของฝรั่งเศสผลิตเนยได้เยอะ เลยได้มีการเอาเนยมาใส่ขนมปังมากขึ้นจนออกมาเป็นบริยอชที่หอมเนยเป็นเอกลักษณ์
สิ่งที่ชอบอีกอย่างคือบริยอชสามารถทำออกมาได้หลายรูปแบบตามจินตนาการของคนทำ ไม่ว่าจะเป็นก้อนกลมนุ่ม ก้อนเหลี่ยม หรือเอามาม้วนก็ได้หมด ผิวจะสีน้ำตาลสวย นุ่มนอกนุ่มใน
บริยอชจะกินเดี่ยวก็อร่อย จะเอามาทำแซนวิช เฟรนช์โทสต์หรือเบอร์เกอร์ก็ได้รสชาติอร่อยถูกปาก : )
• Croissant – Austria
ครัวซองต์ขนมยอดฮิตตอนนี้ อยู่ๆ คนก็ออกมาพูดถึงเจ้าขนมรูปพระจันทร์เสี้ยวกันเยอะแยะมากมาย ขนาดที่มีคอนเทนต์ลายแทงร้านครัวซองต์อร่อยๆ ออกมาเพียบ
ชื่อดูฝรั่งเศสแต่จริงๆ แล้วครัวซองต์เกิดขึ้นที่ประเทศออสเตรียในคริสต์ศตวรรษที่ 17 เริ่มมาจากอาณาจักรออตโตมันเข้ามาบุกกรุงเวียนนา วางแผนจะลอดใต้กำแพงเข้ามา แต่โชคร้ายโดนจับได้เพราะคนทำขนมปังตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วได้ยินเสียงคนกำลังขุดอุโมงค์ เป็นเหตุให้อาณาจักรออตโตมันต้องพ่ายแพ้ไป คนทำขนมปังในเวียนนาจึงฉลองชัยชนะด้วยการทำขนมเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์บนธงของศัตรู
แต่การที่มีคนบอกว่าเจ้าหญิงมารี อังตัวแนตต์ (Marie Antoinette) เป็นคนเผยแพร่ขนมครัวซองต์ จริงๆ แล้วไม่ใช่นะ แต่เป็นการที่ร้านเบเกอรี Rue Richelieu จากเวียนนามาเปิดที่ฝรั่งเศส จุดเด่นของร้านคือเขาจะเอาขนมปังของเวียนนามาโชว์ไว้ตามหน้าร้าน จนทำให้พวกผู้ดีชาวฝรั่งเศสมาต่อคิวซื้อกันเต็ม หลังจากนั้นชาวฝรั่งเศสก็ได้นำขนมปัง Kipfel หรือขนมปังรูปพระจันทร์เสี้ยวของเวียนนามาปรับแต่งให้มีชั้นเนื้อที่ฟู ร่วนมากขึ้นนั่นเอง
ครัวซองต์ต้องมีสีน้ำตาลสวย คือไม่อ่อนและไม่เข้มเกินไป ฉีกออกมาแล้วมีเศษออกมาเล็กน้อย เห็นเป็นชั้นโพรงอากาศเรียงกัน หอมเนย ส่วนใหญ่คนจะเอาไว้กินคู่กับกาแฟหรือชา
ส่วนตัวเราชอบกินคู่กับกาแฟมากกว่าเพราะครัวซองต์จะช่วยตัดรสขมของกาแฟได้ดี หรือจะเอามาจิ้มนมข้นหวานก็อร่อยสุดๆ
• Bagel – Poland
เบเกิล (Bagel) ขนมปังรูปวงกลม มีรูตรงกลางคล้ายโดนัท เนื้อเหนียวกว่าขนมปังทั่วไป นิยมกินกันเยอะแถบอเมริกาและแคนาดา
เจ้าขนมมีรูตรงกลางนี้มีที่มาจากชาวยิวในประเทศโปแลนด์ โดยชาวยิวที่อาศัยอยู่ในนิวยอร์กนำมาเผยแพร่ในอเมริกาในช่วงปี 1990 คนอเมริกานิยมกินมากถึงขนาดมีคำพูดที่ว่า New York Style Bagel เลยทีเดียว
การทำเบเกิลไม่ใช่ว่าอบอย่างเดียวนะ แต่ต้องเอาไปต้มก่อนเข้าเตาอบด้วย เพื่อเพิ่มสี ไม่ให้ขนมปังขึ้นฟูจนเกินไป และเพิ่มความหนึบเหนียวอันเป็นเอกลักษณ์ของขนมชนิดนี้ เวลาต้มจะใส่น้ำผึ้ง ไซรัปลงไปด้วย
เวลาทานเบเกิ้ลจะต้องผ่าครึ่ง แล้วใส่ไส้ตรงกลาง โดยไส้แบบออริจินัลจริงๆ ต้องทาครีมชีสเท่านั้น แต่ปัจจุบันคนเอามาประยุกต์ใส่ไส้อื่นๆ เข้าไปมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแซลม่อนรมควัน พีนัทบัตเตอร์ นูเทลล่า เรียกว่าใครชอบไส้แบบไหนก็ใส่ได้เลยตามใจชอบ
• Tortilla – Spain
หลายคนน่าจะคุ้นหน้าคุ้นตาเจ้าตอร์ติยา (Tortilla) กันมาแล้วในอาหารเม็กซิกันและอาหารสเปน จริงๆ แม้ตัวแป้งจะไม่ได้ขึ้นฟูอย่างขนมปังที่เราเห็นทั่วไป แต่ก็นับว่าเป็นขนมปังแผ่นแบนบางประเภทแฟลตเบรด (Flatbread) ชนิดหนึ่งเหมือนกัน
ต้นกำเนิดของตอร์ติยามาจากประเทศสเปน เดิมเรียกว่า “ตอร์ตา” แปลว่าเค้กรูปวงกลม แล้วนำมาเผยแพร่ให้กับอาณาจักรแอ๊ซเท็กหรือทางตอนกลางของประเทศเม็กซิโก ภายหลังจึงถูกเรียกชื่อใหม่ว่าตอร์ติยา
นำตอร์ติยามาทำอาหารได้หลายอย่าง ทั้งเอาไปตัดเป็นแผ่นสามเหลี่ยมทอดกรอบ จิ้มกินกับซัลซา เอามาห่อใส่เนื้อสัตว์ ใส่ผัก ใส่ชีสก็ได้ ใครชอบแบบไหนก็เอามาประยุกต์ทำอาหารได้หลายอย่างตามจินตนาการเลย
• Pretzel – Italy
ขนมปังม้วนเกลียวรูปทรงน่ารักนี้คือเพรตเซล (Pretzels) มีต้นกำเนิดมาจากนักบวชชาวอิตาลี เมื่อค.ศ. 610 ที่ออกเผยแพร่ศาสนาในแถบอิตาลีและฝรั่งเศส วันหนึ่งได้เอาเศษขนมปังเหลือมาม้วนเป็นสัญลักษณ์ทรีนิตี้ (Trinity) สื่อถึง พระบิดา พระบุตร และพระจิตเพื่ อเป็นของขวัญให้กับเด็กๆ ที่มาฟังบทสวดในโบสถ์ แต่บางคนก็บอกว่าออกแบบมาจากท่าทางเวลาสวดมนต์ในศาสนาคริสต์ที่จะเอามือไขว้กันไว้ที่หน้าอกเป็นรูปตัว X
ภายหลังเพรตเซลได้เผยแพร่ไปยังเยอรมัน ประจวบเหมาะกับช่วงปี 1800 เกิดการอพยพคนเยอรมันเข้าประเทศอเมริกา ขนมชนิดนี้เลยเป็นที่นิยมในอเมริกาไปด้วย จนเกิดแบรนด์ Auntie Anne’s ในปัจจุบันนั่นเอง
• Baguette – Austria
ขนมปังแท่งเรียวยาว กรอบนอกนุ่มในที่หลายคนน่าจะคุ้นหน้า คุ้นตากันดี เวลาทานจะหั่นเป็นชิ้นตามแนว ผ่าตรงกลางหรือบางคนก็กัดทั้งแท่งนั้นเลยก็มี
ส่วนที่มาที่ไป ว่ากันว่าต้นกำเนิดมาจากกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เอาเข้ามาโดยชาวปารีสในช่วงศตวรรษที่ 19 ที่เอาเข้ามาเพราะว่า เมื่อก่อนคนจะกินขนมปังฝรั่งเศสดั้งเดิมที่เรียกว่า บูล (Boule) แต่บูลมีลักษณะเป็นก้อนกลมหนา ทำให้อบแล้วสุกยาก เลยต้องปรับให้ขนมปังเป็นก้อนเรียวยาวจะได้อบได้อย่างรวดเร็ว ทันเวลาคนซื้อไปกินตอนเช้า ตั้งแต่นั้นมาบาแกตต์ก็ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นขนมปังประจำชาติฝรั่งเศสไปโดยปริยาย
บางที่มาก็บอกว่าเมื่อก่อนทหารฝรั่งเศสต้องเอาไปกินช่วงสงคราม บาแกตต์เลยจะต้องเป็นแท่งเรียว เพื่อจะได้พกใส่กระบอกปืนไปได้สะดวก
ทุกวันตอนเช้าคนฝรั่งเศสจะออกมาซื้อบาแกตต์สดจากร้านขนมปังท้องถิ่นไว้สำหรับกินตลอดทั้งวัน บาแกตต์ที่ดีสำหรับชาวฝรั่งเศสผู้แสนประณีตควรจะบางกรอบ กัดเข้าไปแล้วเหนียวนุ่ม กินเปล่าๆ ได้ไม่ต้องง้อเนยหรือแยม
• Sourdough – Egypt
คนไทยเริ่มกลับมาฮิตอบ ซาวร์โด (Sourdough) กันเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง มากขึ้น
เห็นอย่างนี้ซาวร์โดเป็นขนมโบราณ เก่าแก่ มีต้นกำเนิดตั้งแต่สมัยอียิปต์หรือช่วง 1,500 ปีก่อนคริสตกาล ว่ากันว่าเกิดจากความบังเอิญที่มีคนลืมทิ้งแป้ง น้ำ และนมไว้กลางแจ้งทำให้แบคทีเรียและยีสต์ที่อยู่ในอากาศเข้ามาทำปฏิกิริยากับส่วนผสม ย่อยแป้งและนมให้เป็นกรด พอชิมแล้วจะได้รสชาติเปรี้ยวอันเป็นเอกลักษณ์ของขนมก้อนกลมนี้
การทำซาวร์โดต้องเริ่มจากการหมักยีสต์และจุลินทรีย์ก่อนเพื่อให้ขนมปังขึ้นฟู ซึ่งหัวเชื้อนี้รสชาติจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าเลี้ยงยีสต์จากผลไม้หรือจากแป้งกับน้ำ พออบออกมาแล้วก็จะให้กลิ่นต่างกัน แต่เนื้อขนมปังจะต้องนุ่มและติดเปรี้ยวเล็กน้อย
ว่ากันว่าจะอบซาวร์โดให้อร่อยได้ คนทำจะต้องพิถีพิถันตั้งแต่การทำยีสต์ไปนวดแป้ง ไปจนถึงทำรอยบากเลยทีเดียว ซึ่งตัวรอยบากนี้จะช่วยระบายความชื้นในก้อนโดก่อนนำไปอบ และช่วยทำให้เนื้อในโปร่งกำลังดี ดังนั้นรอยบากทุกรอยจึงมีผลต่อตัวขนมปัง หากไม่มีทักษะและความชำนาญก็อาจทำให้ขนมปังออกมารูปทรงไม่สวยงาม บิดๆ เบี้ยวๆ ได้นั่นเอง ❖