The Museum of Floral Culture พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมดอกไม้
ต้อนรับวาเลนไทน์ด้วยสัญลักษณ์แห่งความรักอย่าง ‘ดอกไม้’ ที่นอกจากจะใช้เป็นตัวแทนของความรู้สึกดีๆ แล้วยังมีเรื่องราวและวัฒนธรรมที่ผูกพันกับผู้คนมาอย่างยาวนานอีกด้วย วันนี้เราเลยอยากพาทุกคนมาเรียนรู้วัฒนธรรมดอกไม้ใน The Museum of Floral Culture กัน
พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมดอกไม้ (The Museum of Floral Culture ) ตั้งอยู่ในซอยองค์รัก 13 เดิมเคยเป็นบ้าน ที่รัชการที่ 6 สร้างให้เหล่าองค์รักษ์อยู่กัน จนปัจจุบันคุณสกุล อินทกุลนักออกแบบและนักจัดดอกไม้ได้เช่าบ้านนี้ทำเป็นพิพิธภัณฑ์มากว่า 7 ปีแล้ว คุณสกุลเล่าให้เราฟังว่าด้วยความที่ชื่นชอบดอกไม้มาตั้งแต่เด็ก และการทำงานเป็นนักจัดดอกไม้มากว่า 10 ปี ทำให้อยากส่งต่อเรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นมา ศิลปะและวัฒนธรรมการจัดดอกไม้ของทั่วโลกให้คนได้มาทำความรู้จักว่าจริงๆ แล้วดอกไม้มีอะไรมากกว่ากลิ่นหอมและความสวยงาม
พิพิธภัณฑ์มีทั้งหมด 7 ห้อง โดยจะมีวิทยากรเล่าเกี่ยวกับดอกไม้ของทั้งไทยและเทศและของสะสมต่างๆ ของคุณสกุลให้ฟัง เราฟังแล้วก็ใจเต้นสุดๆ บวกกับทึ่งในความละเมียดละไมของนักจัดดอกไม้ที่พอดูแล้วก็ได้แต่ตั้งคำถามว่างานนี้คิดได้ไง ทำได้ยังไง และทั้งหมดนี้ใช้เวลากี่วันถึงออกมาสวยขนาดนี้ได้ เรียกว่าตั้งแต่ห้องแรกยันห้องสุดท้ายทำให้รู้สึกว่าคุ้มค่าแล้วที่ได้มา
ห้องที่ 1 หอภาพดุสิต
:เป็นห้องที่รวมหนังสือภาพถ่ายของดอกไม้ไทยเอาไว้ตั้งแต่สมัย รัชกาลที่ 5 – รัชกาลที่ 7
ซึ่งหนังสือเหล่านี้ก็เป็นหนังสือที่คุณสกุลใช้เป็นคลังความรู้และใช้เป็นไอเดียในการทำงานจริงๆ
ห้องที่ 2 โลกแห่งวัฒนธรรมดอกไม้
: เป็นห้องที่คุณสกุลได้รวบรวมศิลปะการจัดดอกไม้ในประเทศต่างๆ เอาไว้เช่นอินเดีย ญี่ปุ่น บาหลี ลาว พม่า จากประสบการณ์การทำงานและไปต่างประเทศ ส่วนตัวเราชอบห้องนี้เป็นพิเศษเลยเพราะได้เห็นว่าวัฒนธรรมดอกไม้อยู่กับผู้คนมาอย่างยาวนานจริงๆ นอกจากนี้ดอกไม้ก็ยังผูกผันกับความเชื่อและสะท้อนลักษณะสังคม ภูมิศาสตร์ของประเทศนั้นๆ ได้อีกด้วย
ห้องที่ 3 อุโบสถดอกไม้
: จำลองบรรยากาศประเพณีต้นดอกไม้ที่จัดขึ้นในจังหวัดเลย โดยจะจัดในช่วงสงกรานต์ของทุกปี เพราะมีความเชื่อที่ว่าถ้าทำแล้วจะทำให้ฝนตกตลอดปีนั่นเอง
.
ห้องที่ 4 และห้องที่ 5 มรดกวัฒนธรรมดอกไม้ไทย
: บอกเล่าวัฒนธรรมการทำดอกไม้ในประเทศไทยตั้งแต่ที่มา ที่ไป รูปแบบ ประเภท ทำให้เราเข้าใจว่างานดอกไม้ที่เห็นสวยๆ นี้ต้องผ่านหลากหลายขั้นตอนและต้องมีการวางแผน ใช้ความใจเย็นมากๆ
ห้องที่ 6 ปากกา ดินสอ ความเป็นไปได้
: ด้วยความที่คุณสกุลเป็นวิศวะกรมาก่อน ในห้องนี้จึงโชว์ภาพสเก็ต การขึ้นโครง การออกแบบการจัดดอกไม้ที่ผ่านมาทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ตลอดจนมีภาพถ่ายผลงานที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว มาห้องนี้ก็ได้แต่อุทานว่าทำยังไงให้สวยได้ขนาดนี้กันนะ
ห้องที่ 7 หัวใจแห่งการจัดดอกไม้สมัยใหม่
: ห้องที่รวบรวมการจัดดอกไม้ที่ทันสมัยขึ้น เป็นการนำเทคนิคแบบโบราณบวกเข้ากับการออกแบบให้โมเดิร์นขึ้นและสามารถนำไปใช้ได้จริง โดยในห้องนี้จะมีหนังสือรวมผลงานของคุณสกุลวางไว้อยู่หลายเล่ม เผื่อใครมาแล้วอยากได้ไอเดียจัดดอกไม้เองที่บ้านก็มาดูกันได้นะ : )
คุณสกุลเล่าให้เราฟังว่าหลังจากสั่งสมประสบการณ์ทางด้านการจัดดอกไม้มากว่า 10 ปีแล้วก็ได้เขียนหนังสือ Tropical Colors ขึ้น ซึ่งพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก็ต่อยอดมาจากหนังสือเล่มนี้ที่ว่าจะดีแค่ไหนถ้าเรื่องราวของดอกไม้ไม่ได้อยู่แค่ในหนังสือแต่สามารถให้คนมาเดินดูจริงๆ จึงเกิดเป็นที่มาของการสร้างพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมวัฒนธรรมดอกไม้ของในเอเชียและทั่วโลกขึ้นนั่นเอง
ห้องที่ 1 ห้องภาพดุสิต
บนผนังติดภาพขาวดำที่เป็นภาพเกี่ยวกับวัฒนธรรมดอกไม้ของคนไทยในสมัยก่อน
ห้องที่ 5 มรดกวัฒนธรรมดอกไม้ไทย
ห้องนี้เป็นห้องที่เปิดโลกดอกไม้ของเรามากๆ ได้เห็นว่าจริงๆ แล้วการจะจัดดอกไม้ขึ้นมามีความซับซ้อนและละเอียดมากๆ
ห้องที่ 7 หัวใจแห่งการจัดดอกไม้สมัยใหม่
ห้องนี้เราเปิดดูหนังสือของคุณสกุลเพลินมากๆ แต่ละหน้าก็คือสวยพีคทุกหน้า บางหน้าก็ตกแต่งแบบมินิมอล โมเดิร์นๆ ด้วย เผื่อเป็นไอเดียให้ใครเอาไปจัดในบ้านตัวเองได้เลย
เราลองไล่เปิดหนังสือที่วางอยู่ก็ได้แต่คิดว่ากว่าจะทำได้สวยขนาดนี้ต้องใช้เวลากี่วัน ทำกี่ชั่วโมง เพราะแต่ละงานนั้นล้วนเต็มไปด้วยดีเทลเล็กๆ แสดงให้เห็นถึงความละเอียดละออของคนทำสุดๆ
เมื่อดูนิทรรศการครบทั้ง 7 ห้องแล้ว เราก็ออกมาเดินตรงสวนด้านนอกตัวบ้าน มีต้นไม้เขียวๆ มีเสียงน้ำพุนิดๆ ร่มรื่นมากๆ
บริเวณสวนจะมีมาลัยห้อยๆ อยู่ตรงทางเดินด้วย น่ารักมากก
ใครมาอย่าลืมมาถ่ายรูปมุมนี้กันนะ
สกุลเล่าให้ฟังว่าปลูกต้นกล้วยไว้ใช้เองด้วย เนื่องจากต้องใช้ใบของกล้วยตานีเท่านั้น ถ้าเป็นกล้วยพันธุ์อื่นใบจะไม่สามารถเอามาเย็บงานจัดดอกไม้ได้
เมื่อเดินมาบริเวณสวนจะมีศาลาไว้ให้นั่งพัก รับลมเย็นๆ ด้วย
นอกจากดอกไม้แล้วที่นี่ยังมีน้องแมวเดินไป เดินมาอยู่บริเวณสวนด้วย ใครมาอย่าลืมแวะมาเล่นกับน้องกันนะ
ถ้าใครเดินพิพิธภัณฑ์ครบแล้วเราแนะนำให้มานั่งจิบชา หย่อนใจที่ Dok Mai Thai Salon du The’ ร้านน้ำชาที่มีชากลิ่นดอกไม้ให้เลือกมากมาย เสิร์ฟคู่ไปกับชุดขนมไทย หรือขนมต่างประเทศอย่างไอศครีมและสโคนก็มีให้เลือกเหมือนกัน ยิ่งอินกับเรื่องของดอกไม้มาด้วยแล้วคิดว่าการจบวันด้วยการนั่งจิบชาริมระเบียงก็เข้ากันกับบรรยากาศของบ้านไม้มองออกไปเห็นสวนเขียวๆ ดีจริงๆ ถ้าใครกำลังหาที่เที่ยวบรรยากาศดีในกรุงเทพฯ ลองมาใช้เวลาแบบไม่รีบร้อนที่นี่กันดูนะ : )
ในเซ็ต Afternoon tea ประกอบไปด้วยชุดน้ำชา ซึ่งที่นี่เค้าจะมีชาให้ดมก่อนสั่งด้วย และมีให้เลือกหลายกลิ่นเลย เช่น หอมหมื่นลี้ กุหลาบ ซากุระ ลาเวนเดอร์ นอกจากนี้มีเซตขนมไทยและเซ็ตขนมต่างประเทศให้เลือกสั่งด้วยน้า
แอบกระซิบว่าสโคนที่นี่เค้าอร่อยมากกกกก (ก ล้านตัว) ปกติเราจะกินสโคนกับเนยใช่ไหม แต่ที่นี่เค้าเสิร์ฟสโคนกับครีมชีสบลูเบอร์รี่กินแล้วฟินมาก แฟนๆ สโคนห้ามพลาดเลยนะ
จบวันแล้วกับการเรียนรู้วัฒนธรรมดอกไม้ เดินชมสวน ปิดท้ายด้วยจิบชาริมระเบียง
เราว่าคุ้มมากๆ กับการมาที่นี่ ลองมาใช้เวลาช้าๆ พักผ่อนหย่อนใจแบบได้ความรู้ด้วยก็เป็นตัวเลือกที่ดีเหมือนกันนะ : )
ถึงจะไม่อินกับมิวเซียม หรือไม่ถนัดจิบชา แค่ได้แวะเข้ามาเยี่ยมชมความเขียวรอบๆบริเวณบ้านก็คุ้มมากกกแล้ว อ้อ ที่นี่เค้ารับจัดอีเวนท์ หรือจะงานแต่งงานได้หมดเลย
📍พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมดอกไม้ อยู่ในซอยองครักษ์ 13 ถนนสามเสน
• การเดินทาง: BTS – อารีย์ (ต่อรถมา 10 นาทีถึง) MRT – บางโพ (ต่อรถมา 15 นาทีถึง)
• เวลาเปิด – ปิด : อังคาร – อาทิตย์ เวลา 10.00 – 18.00 น.
• ค่าเข้าชม: คนละ 150 บาท
เยาวชนอายุไม่เกิน 17 ปี และผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป 75 บาท
• ที่นี่เค้ามีเวิร์คชอปด้วยนะ รายละเอียดเพิ่มเติมในนี้เลย: https://www.facebook.com/TheMuseumofFloralCulture/
จริงๆ แล้วยังมีพิพิธภัณฑ์ในไทยที่น่าไปอีกเยอะมากๆ
ใครอยากได้ไอเดียลองไปอ่านได้ในนี้เลย https://gogetlost.co/14-bangkok-places-to-enjoy-this-weekend/