Saraburi – Lopburi
: ท่องเที่ยววิถีชาวนา ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา-ป่าสัก
ถ้าพูดถึงจังหวัดสระบุรี – ลพบุรีทุกคนนึกถึงอะไรกัน ? สิ่งแรกที่เรานึกถึงคงหนีไม่พ้นกะหรี่ปั๊ปและน้องลิงแสนซน แต่จริงๆ แล้ว2 จังหวัดนี้ยังมีอะไรให้เราออกไปสำรวจอีกเยอะแยะมากมายซึ่งหนึ่งในนั้นคือความหลากหลายทางชาติพันธุ์
วันนี้เราเลยอาสาพาทุกคนมาสัมผัสวิถีชีวิตชาวนา 4 ชาติพันธุ์ ที่อยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา – ป่าสัก นั่นคือ
▪︎ ลาวเวียง
▪︎ ไทยวน
▪︎ ไทยเบิ้ง
▪︎ ไทยพวน
ผ่านการพูดคุย ทำความรู้จักกับชาวนา ลองหว่านข้าว ทอผ้า เข้าวัด ชมการละเล่นพื้นบ้านตบท้ายด้วยการกินอาหารและขนมพื้นเมืองแสนอร่อย ถือว่าได้สัมผัสวิถีชีวิตชาวนาอย่างเต็มอิ่มเลยทีเดียว.ครั้งนี้เราได้รับการต้อนรับอย่างดีจากคุณลุง คุณป้าที่ไม่ว่าอากาศจะร้อนระอุแค่ไหนก็ยังยินดีเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟังด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอยู่ เรียกได้ว่าคนที่มาเยี่ยมเยียนอย่างเราก็ได้รอยยิ้มกลับไป ส่วนคนที่อยู่ที่นี่คงดีใจยิ่งกว่าที่ได้มีคนมารับรู้เรื่องราวและวัฒนธรรมของพวกเขา
การได้ออกมาเที่ยว มาเปิดมุมมอง ได้ออกมาเห็นอะไรใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยรู้มาก่อนมันดีจริงๆ นะ อยากชวนทุกคนมาทำความรู้จักกับสระบุรี-ลพบุรีในมุมใหม่ๆ ผ่านวิถีชาวนาหลากหลายชาติพันธุ์ และหลากหลายวัฒนธรรมให้มากขึ้นกันเถอะ
ครั้งนี้เราเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปสระบุรี ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 2 ชั่วโมงนิดๆ ก็ถึงแล้ว
เราเริ่มต้นทริปกันที่วัดอู่ตะเภา ได้ไปลองหว่านเมล็ดข้าวกันที่นาข้าวของชาวลาวเวียง จากนั้นเดินทางไปยังหอวัฒนธรรมไทยวนสระบุรี และขับรถต่อไปอีกนิดก็ถึงวัดเขาแก้ววรวิหาร เป็นอันจบวันแรก
วันที่สองเราตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อขับรถไปยังเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้นและถ่ายรูปเก็บบรรยากาศเขื่อนยามเช้า จากนั้นเดินทางไปยัง
พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านไทยเบิ้ง โคกสลุง และมาจบ
ทริปกันที่พิพิธภัณฑ์ไทยพวน บ้านทราย
เป็นทริป 2 วัน 1 คืนที่สนุกมากๆ ตามมาดูกันเลย
• ลาวเวียง — จังหวัดสระบุรี
– วัดอู่ตะเภา อ.หนองแซง
วัดอู่ตะเภาเดิมชื่อ “วัดอู่สำเภาทอง” เป็นวัดเก่าแก่
คู่บ้าน คู่เมืองสระบุรีมาอย่างยาวนาน มีการบอกเล่ากันว่าเมื่อก่อนที่นี่เคยเป็นตลาดที่ชาวบ้านเกษตรกรมักจะเอาของมาขายและแลกเปลี่ยนสินค้ากัน
เมื่อมาถึงวัดอู่ตะเภาสิ่งที่ไม่ควรพลาด คือ การมาสักการะหลวงพ่อขอม พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์
คู่บ้านคู่เมืองชาวสระบุรีกันก่อน จากนั้นค่อยเดินชมพิพิธภัณธ์อู่ตะเภาซึ่งอยู่ในศาลาการเปรียญ ที่นี่รวบรวมข้าวของเครื่องใช้ ลูกปัด เครื่องประดับ สังคโลก และของสำคัญทางโบราณคดีไว้ด้วย
ถ้าใครมาเที่ยวอำเภอเสาไห้ แนะนำให้ปักหมุดมาวัดอู่ตะเภาเป็นที่แรก มาไหว้พระเอาฤกษ์เอาชัย เพื่อที่จะช่วยให้เดินทางอย่างปลอดภัยกันน้า
ขับรถไปอีกเล็กน้อยจะเจอกับโคกหนองโมเดล
คุณลุง คุณป้าเล่าให้เราฟังว่า เมื่อก่อนที่นี่เคยเป็นที่ดินเปล่า ไม่ได้ทำการเพาะปลูกอะไร กำนันประจำตำบลเลยได้เปลี่ยนที่ดินแห่งนี้เป็นโคก หนอง นา ปลูกผักนานาชนิดเพื่อให้ชาวบ้านได้มีผลผลิตทางการเกษตรออกมาขายและแบ่งปันซึ่งกันและกันนั่นเอง
– ชิมขนมโบราณของชาวลาวเวียง
เป็นเซคชั่นที่เราชอบมากที่สุดดดดดดด เพราะได้ลองทำขนมเปียกปูนและขนมตาล
กับคุณป้าที่ตั้งใจสอนพร้อมอธิบายทุกขั้นตอนอย่างละเอียด
เริ่มตั้งแต่นำข้าวเสาไห้ พันธุ์เจ๊กเชย ผสมกับน้ำใบเตยแล้วนำมาใส่ในที่โม่แป้งเพื่อคั้นน้ำเปียกปูนออกมา แล้วจึงนำไปกวนในหม้อไฟอ่อนจนกว่าแป้งจะสุกเป็นมันวาว จากนั้นจึงนำแป้งใส่ในถ้วยแล้วพักให้เย็น จากนั้นขูดมะพร้าวใส่ไปหน่อยเป็นอันเสร็จ
นอกจากนั้นเรายังได้ลองการหยอดแป้งขนมตาล (ที่คุณป้าเขาทำเสร็จมาแล้ว) ลงในถ้วย พร้อมกับโรยหน้าด้วยมะพร้าวขูด เมื่อเสร็จแล้วนำไปนึ่งให้ขึ้นฟูก็จะได้ขนมตาลสีเหลืองน่ารับประทานแล้ว
ขอบอกว่าขนมสูตรของชาวบ้านที่นี่เขาอร่อยจริงๆ นะ ที่ชอบมากที่สุด คือ เปียกปูนใบเตย
นี่แหละเพราะหน้าตาขนมเปียกปูนของที่นี่จะดูนุ่ม ฟู แถมไม่เหนียวติดมือ กินเข้าไปแล้วได้รสชาติกลมกล่อม หวานมันกำลังดี แอบสารภาพว่ากินไป
หลายชิ้นอยู่เหมือนกัน
– เรียนรู้วิถีชาวนาและปลูกข้าวเจ๊กเชย
กิจกรรมที่เราชอบเป็นพิเศษคือการได้เรียนรู้วิถีชีวิตชาวนาด้วยการไปดูนาข้าวจริงๆ
และได้หว่านเมล็ดข้าวลงนาเองกับมือ
พันธุ์ข้าวที่มีชื่อเสียงของสระบุรี อำเภอหนองแซงคือ ข้าวเจ๊กเชย ที่ชื่อข้าวเจ๊กเชยเนื่องจากเมื่อก่อนเกษตรกรต้องมาซื้อขาย แลกเปลี่ยนสินค้ากันบริเวณท่าน้ำเจ๊กเฮง ซึ่งเจ๊กเฮงมีน้องชายชื่อเจ๊กเชย เขาเป็นคนควบคุมสินค้าและสนใจข้าวพันธุ์ก้นจุด เลยทดลองให้ชาวนาเอาไปปลูก เมื่อปลูกแล้วให้นำข้าวมาแลกสินค้า ตั้งแต่นั้นมาชาวบ้านเลยเรียกกันจนติดปากว่าข้าวเจ๊กเชยนั่นเอง
ลักษณะเด่นของข้าวเจ๊กเชยคือ เม็ดเรียวยาว ร่วน หุงขึ้นหม้อ ไม่บูดง่าย และถึงจะเป็นข้าวเก่าถ้านำมาหุงก็จะไม่มีกลิ่นเหม็นสาบ ไม่น่าแปลกใจเลยที่คุณลุง คุณป้า Proud to Present กันมากๆ
ข้าวเจ๊กเชยนอกจากจะเอาไปหุงข้าวแล้วยังสามารถนำไปทำขนมหยดได้ด้วยน้า ชื่อเหมือนของหวานแต่จริงๆ แล้วคือของคาวนี่เอง ให้ความรู้สึกคล้ายๆ กับเส้นเกี้ยมอี๋ โดยเอาข้าวไปนวดให้เหนียวแล้วเอามาใส่ในอุปกรณ์รีดให้เป็นเส้น จากนั้นนำเส้นมาใส่น้ำซุปหอมๆ น่องไก่ เติมผัก กระเทียมเจียว ปรุงรสอีกนิดหน่อยตามใจชอบแค่นี้ก็ได้ขนมหยดแสนอร่อยแล้ว
นอกจากนั้นบริเวณนี้ยังมีต้นก้ามปูที่แผ่กิ่งก้าน
สาขาขนาดใหญ่ให้ขึ้นไปถ่ายรูปสวยๆ ได้ด้วยนะ
ใครอยากมาทำแบบเรา สามารถติดต่อแพ็กเกจสัมผัสวิถีชีวิตชาวนาวิถีหนองแซงและทำขนมพื้นบ้านได้ที่
• คุณเอ็กซ์ 06-1465-9255 หรือ inbox ไปที่ https://www.facebook.com/nongsaengfarmer/
• มีจัดเป็นทริปให้ด้วยน้า
– One Day Trip ราคา 499 บาท/คน
– 2 Day Trip ราคา 999 บาท/คน (ที่พัก 1 คืนแบบโฮมสเตย์)
• ไทยวน — จังหวัดสระบุรี
— หอพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านไทยวนสระบุรี
ชาวไทยวนในสระบุรีเดินทางมาจาก โยนก เชียงแสน จังหวัดเชียงราย อพยพมาตั้งบ้านเรือนอยู่ในบริเวณริมฝั่งแม่น้ำป่าสัก อำเภอเสาไห้ เมื่อ 200 ปีที่ผ่านมา
หอพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านไทยวนสระบุรี ก่อตั้งขึ้นจากแรงบันดาลใจของอาจารย์ทรงชัย วรรณกุล
ที่ต้องการสืบสานวัฒนธรรมชาวไทยวนเอาไว้ไม่ให้สูญหายไป โดยเก็บรวบรวมข้าวของเครื่องใช้ของชาวไทยวนเอาไว้มากมาย เช่น เรือนของเจ้าเมืองสระบุรี เรือนของเสือคง (โจรชื่อดังในอดีตของจังหวัดสุพรรณบุรี) ผ้าทอโบราณ เรือ เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ เครื่องมือทำมาหากินและของเก่าโบราณมากมาย
ที่นี่มีด้วยกันทั้งหมด 5 ห้อง คือ ห้องประวัติและวิวัฒนาการ ห้องวิถีชีวิต ห้องนิทรรศการเอกลักษณ์ของชาวไทยวน ห้องประเพณี ห้องภูมิปัญญา โดยทุกห้องเราจะได้เห็นวิถีชีวิตแบบชาวไทยวนว่ามีความเป็นมาแบบไหน อยู่กันยังไง และข้าวของที่ใช้มีอะไรบ้างนั่นเอง
สำหรับใครที่อยากมานั่งรับลมเย็นๆ ชมวิวแม่น้ำป่าสักสวยๆ ได้กินโตกแบบโลคอลแท้ๆ พร้อมกับเรียนรู้วิถีชีวิตชาวไทยวนที่แสนเรียบง่ายไปด้วย ไม่อยากให้พลาดที่นี่เลยนะ
— ชิมอาหารพื้นบ้านไทยวน
ด้วยความที่ชาวไทยวน สระบุรี อพยพมาจากเชียงแสนตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 ทำให้อาหาร
จะมีหน้าตาและรสชาติคล้ายๆ กับอาหารเหนือคือ เปรี้ยว เค็ม เผ็ด น้ำพริกออกแห้ง แกงแบบขลุกขลิกและหอมสมุนไพร เวลากินก็จะเสิร์ฟมาในโตก
ในสำรับประกอบไปด้วย
▪︎ หมี่แจ๊ะ หรือที่เราคุ้นกันในชื่อหมี่ผัดกะทิ เมนูนี้เหมาะกับคนกินมังสวิรัติเพราะไม่มีเนื้อสัตว์!
:โดยคนยวนเขาจะใช้วัตถุดิบและเครื่องเทศที่มีอยู่ในครัวเอามาปรุงให้รสชาติออกหวานและเปรี้ยวไม่ใส่เนื้อสัตว์ เมื่อเสร็จแล้วโรยหน้าด้วยไข่ฝอย เรียกว่าเป็นหมี่ที่ใช้วัตถุดิบไม่กี่อย่าง วิธีการปรุงไม่ยุ่งยาก แต่พอกินแล้วได้รสชาติหอม กลมกล่อม จึงทำให้หมี่แจ๊ะ อาหารคู่สำรับโตกนี้เป็นของขึ้นชื่อของชาวไทยวน
▪︎ ต้มไก่พริกดำ
: พริกดำเกิดจากการคั่วเครื่องเทศ เช่น หอม กระเทียม พริก พอเกิดการเผาไหม้แล้วนำมาตำเป็นนำพริกปรุงก็จะได้น้ำต้มไก่ที่หอม ส่วนผักโรยเขาจะไม่ใช้ต้นหอมผักชีนะ แต่ใช้ใบกะเพราโรยแทน
เพื่อให้ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ แบบสมุนไพร
▪︎ ลาบคั่ว
: ปกติเวลากินลาบของภาคเหนือจะซ่าลิ้นหน่อยๆ จากมะแขว่นใช่ไหม แต่พอชาวไทยวนอพยพมาภาคกลางทำให้หามะแขว่นไม่ได้ก็เลยทำลาบคั่วแบบไม่มีมะแขว่นแทน
▪︎ จิ้นทอด
หมูสามชั้นทอดทานกับข้าวเหนียว ซึ่งมาจากภาษาเหนือโดยแท้ เพราะปกติแล้วเวลาพูดถึง จิ้น หรือ จิ๊น คนเหนือก็มักจะหมายถึง เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อปลา ที่มาเป็น ‘ชิ้น’ หรือ ‘จิ๊น’ นั่นเอง
▪︎ ขนมกง
: เป็นขนมมงคลที่เอาไว้ใช้ในงานแต่งงาน โดยทำมาจากเอาถั่วไปคั่ว แล้วนำมาบดหรือใส่ในโม่ผสมกับน้ำตาลมะพร้าว กะทิ และนวดให้เข้ากันปั้นให้เป็นวงจากนั้นนำมาทอด
▪︎ ขนมเพ้อเร่อหรือเบ้อเร่อ
: สมัยโบราณชาวไทยวนจะใช้ แป้งข้าวเหนียว น้ำตาล กะทิ มะพร้าวอ่อน กล้วยน้ำว้า ซึ่งมักจะเป็นของที่มีติดตู้ในทุกๆ บ้าน ผสมให้เข้ากันแล้วเทแป้งเกลี่ยในกระทะให้เป็นแผ่นใหญ่ๆ เรียกว่าขนมเพ้อเร่อหรือเบ้อเร่อ มีที่มาจากแป้งขนาดใหญ่นั่นเอง รสชาติและหน้าตาจะคล้ายๆ กับทองม้วนสด เป็นการประยุกต์ขนมหวานจากของที่มีอยู่แล้ว
ในก้นครัว
— ชมการทอผ้าของชาวไทยวน
อีกอย่างของชาวไทยวนที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือผ้าทอที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีกรรมวิธีการทอที่ละเอียดอ่อนทั้งด้านสีสันและลวดลายวิจิตรงดงาม ที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตของชาวไทยวนได้เป็นอย่างดี
พี่เจี๊ยบ – สุพัตรา ชูชม ผู้สืบเชื้อสายชาวไทยวนรุ่นที่ 6 เล่าให้เราฟังว่าสมัยเด็กเห็นคุณแม่ คุณยายและคนในชุมชนทอผ้ามาตั้งแต่เด็กๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปการทอผ้าก็ได้เลือนหายไปตามกาลเวลา ทำให้พี่เจี๊ยบเกิดความคิดที่จะรื้อฟื้นผ้าทอในชุมชนให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง โดยเริ่มฝึกฝนด้วยตัวเอง เรียนรู้กับครูบาอาจารย์ และศึกษาเกี่ยวกับผ้าซิ่นตีนจกของชาวไทยวนโบราณ จนเกิดเป็นแรงบันดาลใจที่จะรื้อฟื้นผ้าซิ่นตีนจกขึ้นมาเพื่อให้อยู่คู่กับชาติพันธุ์ไทยวนและให้เป็นที่รู้จักแก่บุคคลอื่นต่อไป
การทอผ้าซิ่นตีนจกจะใช้เทคนิคโบราณด้วยขนเม่น คือการใช้ขนเม่นนับเส้นด้ายยืนตามลายที่ต้องการ พี่เจี๊ยบเล่าว่าการจกแบบนี้จะไม่มีการเก็บลายมาก่อน เพราะฉะนั้นคนทอจะต้องมีความเข้าใจในลวดลาย มีความแม่นยำและใจเย็นมากเพราะจะต้องนับด้ายทีละเส้น
นอกจากนี้พี่เจี๊ยบยังเล่าให้เราฟังว่าการทอผ้าของผู้หญิงไทยวนสมัยก่อนบ่งบอกถึงการโตเป็นผู้ใหญ่ การออกเรือนได้ ถ้าทอซิ่นไม่ได้จะแสดงว่าออกเรือนไม่ได้เพราะสาวไทยวนจะต้องทอผ้าซิ่น เพื่อใช้ในงานแต่งงานของตัวเอง
ถ้าใครอยากเห็นผ้าแบบเต็มๆ ให้ขึ้นไปบนเรือนไทยได้เลยจะมีห้องที่โชว์ผ้าที่ชาวไทยวนสวมใส่กันในชีวิตประจำวัน เช่น ซิ่นดำด้่านก่านคอควาย ที่สาวไทยวนใส่เวลาออกไปทำสวน ทำนา หรือใส่ในวันนั้นของเดือน นอกจากนั้นยังมีผ้าซิ่นแพทเทิร์นไทยวนแบบต่อเอว ย่าม และหมอนให้ได้ดูกันด้วย
ใครสนใจผ้าทอไทยวนมาดูได้ที่นี่เลย มีคุณลุงคุณป้าพาชมและให้ความรู้อยู่ตลอด
— วัดเขาแก้ววรวิหาร
ขับรถจากหอพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านไทยวน สระบุรีมาอีกนิดก็จะเจอกับวัดเขาแก้ววรวิหาร บรรยากาศภายในวัดเงียบสงบเหมาะแก่การมาไหว้พระทำใจให้สงบมากๆ
เมื่อก่อนวัดเขาแก้ววรวิหารเคยเป็นพลับพลาที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ เมื่อคราวเสด็จประพาสหัวเมือง เนื่องจากมีบรรยากาศเงียบสงบและสวยงาม จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้บูรณะปฏิสังขรณ์และสถาปนาให้เป็นพระอารามหลวง
เมื่อมาถึงวัดสิ่งแรกที่โดดเด่นมาแต่ไกลคือเจดีย์สีขาว ใครมาแล้วแนะนำว่าให้ขึ้นมาไหว้พระที่เจดีย์นี้เพื่อเป็นสิริมงคลก่อน เสร็จแล้วให้เดินดูรอบๆ ลวดลาย แพทเทิร์นต่างๆ ของเจดีย์สวยมากๆเรียกว่าถ่ายรูปได้แบบเพลินๆ เลยล่ะ นอกจากนั้นบริเวณนี้ยังมีห้องที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางสมาธิและพระพุทธบาทจำลองด้วยนะ ลองเข้าไปดูกันได้
• เปิด 08.30 – 16.00
เข้าสักการะได้ทุกวัน หรือโทร.036-332-863
• ใครอยากมาดูไหว้พระ ดูองค์เจดีย์สวยๆ และพระพุทธบาทจำลอง อาจต้องแจ้งหลวงพ่อหรือเจ้าหน้าที่ในวัดก่อนนิดนึงน้า เพราะบางทีจะปิดอยู่
• เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ — จังหวัดลพบุรี
วิวข้างหน้าของเราคือทุ่งหญ้าสีเขียวที่กระทบกับแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้า ดอกหญ้าที่พลิ้วไหวตามลม เห็นน้องวัวและแก๊งน้องหมาอยู่ไกลๆ ใช่แล้วเราอยู่กันที่เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี
เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ คือ เขื่อนดินกักเก็บน้ำที่ยาวที่สุดในประเทศไทย สร้างขึ้นตามแนว
พระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เพื่อให้เป็นแหล่งน้ำสำหรับการเกษตร และป้องกันปัญหาน้ำท่วม น้ำเสีย การขาดแคลนน้ำเพื่ออุปโภคและบริโภคที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี
ถ้าใครอยากเก็บบรรยากาศเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์แบบเต็มๆ แนะนำให้ลองขึ้นรถไฟขบวนท้องถิ่นจากสถานีโคกสลุง จะสามารถชมบรรยากาศสะพานเหนือเขื่อนได้ แต่เนื่องจากเป็นแค่ทางผ่านรถไฟขบวนท้องถิ่นจะไม่หยุดระหว่างทางเพื่อให้ถ่ายรูปน้า ถ้าอยากถ่ายรูปทางรถไฟต้องขึ้นรถไฟขบวนพิเศษนำเที่ยวเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ที่ทางการรถไฟจะจัดทัวร์แบบไปเช้า – เย็นกลับ เฉพาะช่วงเดือนพฤศจิกายน – มกราคมของทุกปีเท่านั้น
แต่ถ้าใครไม่อยากขึ้นรถไฟแค่อยากมาถ่ายรูปรถไฟวิ่งบนสะพานเฉยๆ ก็ให้ปักหมุดที่สถานี
โคกสลุงได้เลย ช่วงน้ำลดถ่ายรูปแล้วจะเห็นทุ่งหญ้าเขียวๆ บรรยากาศเหมือนอยู่ต่างประเทศเลยล่ะ
• ถ้าอยากได้มุมเดียวกันกับในภาพนี้ ในกูเกิ้ลให้เสิร์ชหมุดที่เขียนว่า “ทางรถไฟข้ามเขื่อน”
https://goo.gl/maps/goMjLscD7Wyhf3US9
หรือถ้าอยากได้วิวเรียบสันเขื่อนอื่นๆ อีกให้ปักหมุด ไปที่สถานีสูบน้ำพัฒนานิคมและพัฒนานิคม-แก่งคอยก่อน แล้วขับรถเลียบเขื่อนไปตลอดเส้น ลบ. 5130
https://goo.gl/maps/pf8bUMrm4H82npi99
• ในเวลาที่น้ำในเขื่อนเต็ม ทางรถไฟนี้จะเหมือนลอยน้ำอยู่ แต่ช่วงที่น้ำลง เราสามารถลงไปถ่ายรูปในทุ่งหญ้าเขียวๆ ได้เลย ถ้าโชคดีก็จะมีชาวบ้านพอฝูงวัวมากินหญ้าแถวนี้ด้วย วิวดีไปอีกแบบ
• ไทยเบิ้ง — จังหวัดลพบุรี
— พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านไทยเบิ้ง โคกสลุง
ชาวไทยเบิ้งตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา – ป่าสัก มายาวนานกว่า 300 ปี หรือก่อนกรุงรัตนโกสินทร์นั่นเอง โดยสันนิษฐานจากหลักฐานที่พบบริเวณวัดโคกสำราญ เช่น ฐานโยนี บัวกลีบขนุน และศิลาแดง ทำให้ทราบว่าบริเวณนี้ น่าจะมีผู้คนอาศัยอยู่มานานตามอายุของวัตถุโบราณที่พบ
ส่วนชื่อโคกสลุงนี้ตามตำนานเล่าว่า คนในหมู่บ้านเชื่อว่า “โคกสลุง” เพี้ยนมาจากคำว่า “โคกสาวหลง” เนื่องจากเดิมบ้านโคกสลุงเป็นป่า คืนหนึ่งมีนายพรานออกมาล่าสัตว์แล้วบังเอิญมีหญิงสาวเดินร้องไห้มา นางพรานคิดว่าเป็นเสือสมิงจึงยิงไปที่สาวคนนั้น พอตอนเช้าพบว่าจริงๆ แล้วไม่ใช่เสือสมิง แต่เป็นลูกสาวของผู้ใหญ่บ้านหลงป่ามา
นายพรานจึงตั้งชื่อหมู่บ้านเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้กับหญิงสาวผู้เสียชีวิตว่า “โคกสาวหลง” พอนานๆ เข้าจึงเพี้ยนมาเป็น “โคกสลุง” ในปัจจุบัน
เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปชาวไทยเบิ้งบางคนเริ่มย้ายบ้านเรือนออกไปประกอบอาชีพที่อื่น จึงทำให้ชาวไทยเบิ้งที่เหลือเกิดความคิดท่ีจะสร้างพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ขึ้นมาเพื่อใช้เป็นศูนย์รวมจิตใจของชุมชน สืบสานวัฒนธรรม ประเพณี และเป็นศูนย์กลางการจัดกิจกรรม รวมถึงเป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับเด็กและเยาวชนรุ่นต่อๆ ไป
ใครมาเที่ยวเขื่อนป่าสักแล้ว ลองแวะมาที่นี่กันได้
• เข้าชมได้ทุกวัน ไม่เสียค่าเข้าชม
• ถ้าต้องการมากินอาหารพื้นบ้านและชมการละเล่นต้องจองล่วงหน้าก่อน
แนะนำให้ติดต่อไปที่ คุณประทีป อ่อนสลุง โทร.08-4978-6782 (ราคาเซ็ทอาหาร ขนม และการแสดงขึ้นอยู่กับจำนวนผู้เข้าชม)
• รายละเอียดเพิ่มเติม: https://www.facebook.com/ชุมชนวัฒนธรรมไทยเบิ้งบ้านโคกสลุง-388328804629691/
— ชิมอาหารพื้นบ้านไทยเบิ้ง
อาหารการกินของชาวไทยเบิ้งบ้านโคกสลุง จะเป็นอาหารที่ใช้วัตถุดิบตามฤดูกาลและหาได้ตามธรรมชาติ อาหารที่ชาวไทยเบิ้งนิยมรับประทานกัน เช่น แกงขี้เหล็ก แกงสามสิบยอดยาว แกงผักหวาน แกงสายบัว แกงไข่น้ำ ต้มเห็ดโคน ปลาร้าสับ ปูหลน ลาบปลาดุก ลาบมะเขือ
ทางพิพิธภัณฑ์จะเตรียมอาหารเสิร์ฟมาเป็นสำรับ ประกอบไปด้วย ปลาย่าง ปลาทอด ต้มไก่เครื่องดำ พริกเกลือ แกงขี้เหล็ก และแกงบวชฟักทอง แต่ไม่ได้กินเฉยๆนะ ที่นี่เขามีวิธีการกินด้วย คือให้บีบมะกรูดลงไปในพริกเกลือก่อนแล้วกินคู่กับปลาย่าง และให้ใส่เครื่องดำหรือพริกดำลงไปในต้มไก่ พอกินกับข้าวสวยร้อนๆ แล้วก็จะได้รสชาติอร่อย กลมกล่อมเลยล่ะ
ขอบอกเลยว่าพริกเกลือของที่นี่เด็ดมากกก ไม่เคยกินที่ไหนมาก่อนเลย พริกเขาไม่เผ็ด มีรสเค็มนิดๆ จากเกลือ ยิ่งกินคู่กับปลาย่าง ปลาทอดก็เข้ากันสุดๆ ถ้าฝืดคอก็แกล้มด้วยต้มไก่เครื่องดำ น้ำซุปหอมอร่อยมากเช่นกัน อยากให้ทุกคนมาลองกินกันดูน่าจะชอบเหมือนเรา
— ชมการละเล่นพื้นบ้านรำโทน
“บ้านเอ๋ยบ้านโคกสลุง
มีพรานหมายมุ่งเอาชีวิตสาว
กล่าวขานเป็นเรื่องราวว่าสาวเจ้าเป็นเสือสมิง
เล็งปืนแล้วจ้องยิง เล็งปืนแล้วจ้องยิง
โอแม่หญิงสิ้นลมไปพลัน โคกสลุงจึงเป็นตำนาน
คนโบราณเรียกสาวหลงใหม่ โคกสาวหลงจึงค่อยเปลี่ยนไป
เรียกชื่อใหม่เป็นโคกสลุงเอย”
เพลงด้านบนนี้คือเพลงที่ชาวไทยเบิ้งใช้ประกอบการละเล่นรำโทน โดยลุงดำเล่าให้เราฟังว่ารำโทน เป็นการละเล่นที่คนบ้านไทยเบิ้งใช้สร้างความสุขให้กับผู้คนในชุมชนตั้งแต่สมัยก่อนจนถึงปัจจุบัน เมื่อเสร็จจากทำไร่ ทำนาตอนเย็นๆ ชาวบ้านจะรวมตัวกันเพื่อร้องรำโทนเพื่อคลายความเหนื่อยล้าจากการทำงาน
เครื่องดนตรีที่ขาดไม่ได้เลยก็คือกลองโทน โดยหนังกลองที่ใช้ทำมาจากหนังของตัวเงินตัวทอง ตัวผู้จะให้เสียงทุ้ม และหนังงูเหลือม ตัวเมียจะให้เสียงแหลม เวลาเล่นจะต้องใช้เล่นคู่กันเสมอ
แนะนำให้ออกไปรำคู่กับน้องๆ หรือคุณลุง คุณป้าได้เลยย รับรองว่าสนุกแน่ๆ
—ชมการทอผ้าด้วยกี่มือ กี่ทอผ้าโบราณของชาวไทยเบิ้ง
ชาวไทยเบิ้งมีการทอผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ คือ การทอผ้าด้วยกี่โบราณ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “การทอหูก” เป็นการทอผ้าที่เรียกตามอุปกรณ์ที่ใช้ทอ คือ กี่โบราณ ที่มีขั้นตอนไม่ซับซ้อน การติดตั้งโครงสร้างกี่จะใช้วิธีการฝังดินและผูกเส้นด้ายกับเสาบ้าน
คุณป้าทุเรียน สาธิตการทอผ้าและอธิบายแต่ละขั้นตอนให้เราฟังด้วยน้ำเสียงสดใส พร้อมกับให้เราฟังว่าทอผ้าทีคราวละ 20 – 30 เมตร กว่าจะเสร็จก็เป็นนานเป็นอาทิตย์เลยทีเดียว เมื่อเสร็จแล้วจะได้ผ้าขาวม้าที่มีลวดลายเป็นเอกลักษณ์ของชาวไทยเบิ้ง ซึ่งปัจจุบันนี้ได้มีการนำผ้าขาวม้าที่ทอได้มาแปรรูปเป็นย่าม ผ้าพันคอ เสื้อผ้า สำหรับขายด้วยเพื่อไม่ให้ผ้าขาวม้าสูญหายไปตามกาลเวลานั่นเอง
• ไทยพวน — จังหวัดลพบุรี
— พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านชาวไทยพวน
พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านชาวไทยพวนตั้งอยู่ใต้ศาลาการเปรียญของวัดบ้านทราย เป็นสถานที่รวบรวมความเป็นมาของชาวไทยพวน ตั้งแต่ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ เช่น เครื่องแต่งกาย ผ้าทอที่สะท้อนถึงภูมิปัญญาท้องถิ่นและวิถีชีวิตของชาวไทยพวน
เดิมชาวไทยพวนตั้งถิ่นฐานกันอยู่ที่เมืองพวนซึ่งอยู่ทางภาคเหนือของแขวงเชียงขวาง ประเทศลาวก่อนจะอพยพเข้าสู่ประเทศไทย โดยการอพยพมาแต่ละครั้งจะกระจายไปอยู่ตามจังหวัดต่างๆ เช่น สุพรรณบุรี สระบุรี นครนายก ลพบุรี ปราจีนบุรี เป็นต้น
จากการที่ได้เดินดูในพิพิธภัณฑ์เราจะเห็นเครื่องไม้ เครื่องมือการทำไร่ ทำนา เครื่องครัว การแต่งกาย และได้รู้ว่าเมื่อชาวไทยพวนว่างจากการทำงานแล้ว ผู้ชายจะสานกระบุง ตะกร้า เครื่องมือหาปลา ส่วนผู้หญิงจะทอผ้า ซึ่งต่อกลายเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในชื่อผ้ามัดหมี่ลพบุรีนั่นเอง
ใครมาไหว้พระที่วัดบ้านทรายลองแวะมาเดินดูพิพิธภัณฑ์นี้กันได้
• เข้าชมได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00 – 16.00 น. ไม่เสียค่าเข้าชม
• ถ้าต้องการเรียนรู้วัฒนธรรมไทยพวนอย่างลึกซึ้งแนะนำให้ติดต่อ ผอ. สมคิด จูมทอง โทร. 08-1254-9038
ผอ.สมคิดจะเป็นคนพาเดินชมพิพิธภัณฑ์น้า
• อยากมากินอาหารพื้นบ้านไทยพวนและชมการทอผ้าพื้นเมือง
แนะนำให้ติดต่อล่วงหน้าไปที่ คุณแม่ปราณี โทร. 08-9900-2899
• รายละเอียดเพิ่มเติม https://www.museumthailand.com/…/Tai-Puan-Museum-of-Ban…
— สัมผัสการทอผ้าภูมิปัญญาพื้นบ้าน
ผ้าทอขึ้นชื่อของชาวไทยพวน คือ ผ้าทอมัดหมี่ เป็นหัตกรรมพื้นบ้านที่คนอำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรีได้รับการถ่ายทอด สืบต่อมาจากบรรพบุรุษชาวไทยพวนมาอย่างยาวนาน
คำว่า “มัดหมี่” เป็นชื่อเรียกกรรมวิธีการทอผ้าอย่างหนึ่งที่นำเอาเส้นด้ายมามัดเป็นเปลาะๆ ตามลายแล้วนำไปย้อมสีเพื่อให้เกิดสีสันโดยเอกลักษณ์ของผ้าทอมัดหมี่คือการมัดลายและย้อมสีเพื่อให้เกิดสีสันและลวดลายตามที่คนทอกำหนดไว้
คุณป้าปราณีเล่าให้เราฟังว่า สมัยโบราณหญิงชาวไทยพวนจะต้องหัดทอผ้าให้เป็นถึงจะแต่งงานได้ ส่วนผู้ชายเป็นคนสร้างกี่ทอผ้า เมื่อทอผ้าเป็นผืนแล้วก็นำไปตัดเป็นเสื้อผ้าสำหรับไปทำไร่ ทำนา นอกจากนั้นจะเห็นได้ว่าผ้ามัดหมี่อยู่ในเครื่องแต่งกายประจำวันของชาวไทยพวนด้วย คือ ผู้หญิงจะใส่เสื้อสายเดี่ยว คอเหลี่ยมจับจีบ นุ่งผ้าซิ่นมัดหมี่ทอมือ มีตีนซิ่นเป็นลายขวางและใช้ผ้าโต่งพาดบ่า แต่หากใส่ออกงานที่เป็นทางการสาวไทยพวนจะใส่เสื้อแขนกระบอกแทน
เรียกได้ว่าผ้าทอมัดหมี่นี้เป็นอีกสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อ สังคม วัฒนธรรม วิถีชีวิตได้เป็นอย่างดีเลย
— ชิมอาหารพื้นบ้านไทพวน
อาหารพื้นบ้านของชาวไทพวน มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น คือ ปลาร้า ซึ่งถือเป็นการถนอมอาหารตามวิถีชุมชน โดยอาหารจานเด็ดที่ไม่ควรพลาดเลย คือ เมนูเรียกน้ำย่อยอย่าง ต้มฟักไก่มะนาวดอง ตามมาด้วยอาหารจานหลักที่รสชาติดีไม่แพ้กันอย่าง ปลาส้มฟักทอด แกงขี้เหล็กแบบไม่ใส่กะทิจะใช้ใบขี้เหล็กและใบย่านางช่วยเพิ่มความหอม และที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ แจ่วลาบ เมนูนี้ใช้ปลาสับ ใส่หอมแดง ต้นหอม ผักชี ข้าวคั่ว พริกป่น รสชาติจะออกเผ็ดนิดๆ
สำรับปิดท้ายของทริปนี้ขอบอกเลยว่าอร่อยทุกอย่างจริงๆ เพราะอาหารกินง่าย รสชาติกลมกล่อมคุ้นลิ้น ที่ชอบที่สุดคือหมี่กะทิ แกล้มกับหมูยอที่มีรสชาติ
ติดเปรี้ยวนิดๆ กินคู่ไปกับข้าวสวยร้อนๆ อร่อยมากกกก
— นาข้าวชาวไทพวน
คุณลุง คุณป้าพาเราขับรถออกมาจากพิพิธภัณฑ์อีกนิดก็ถึงนาข้าวของชาวไทยพวนแล้ว
ภาพเบื้องหน้าคือนาข้าวสีเขียวขจี เราได้ลองเดินลงไปในคันนา มีลมพัดเย็นๆ พร้อมกับพระอาทิตย์ที่กำลังคล้อยต่ำ เป็นการมาปิดทริปที่ดีจริงๆ
ทริป 2 วัน 1 คืนนี้ เราได้เรียนรู้ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ทั้งชาวลาวเวียง ไทยวน ไทยเบิ้ง ไทยพวน ที่แต่ละชาติพันธุ์ล้วนมีสังคม วิถีชีวิต วัฒนธรรมเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง และทำให้เรารู้ว่าจริงๆ แล้ว ยังมีกลุ่มชาติพันธุ์อีกมากมายที่อยู่ร่วมกันกับเรามาอย่างยาวนาน พวกเขายังอยู่ทุกหย่อมหญ้าแค่เรายังไม่ได้ไปสัมผัสเท่านั้นเอง ❖