หลบหนีมลพิษเมืองใหญ่ไปคิวชู หนีไปเที่ยวฟุกุโอกะกันเถอะ!
.
เรากำลังจะชวนไปกิน ไปเที่ยว ขึ้นภู ดูน้ำตก ที่ฟุกุโอกะ เมืองที่ใหญ่ที่สุดในคิวชู แถมมีดีเรื่องการไปพักผ่อนหย่อนใจ ใช้ชีวิตช้าๆ ในสไตล์ญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมที่แท้จริง
เริ่มตั้งแต่ตะลอนกินอาหารรสต้นตำรับ อย่างราเม็งข้อสอบ ต่อด้วยปิ้งย่างของชอบที่สตรีทฟู้ดหรือจะมินิมัลเล็กๆ ที่มูจิคาเฟ่ แล้วไปนั่งทำตัวเท่ๆ แบบคนญี่ปุ่นโลคัล ที่ Ohori กับ Maizuru Park (ช่วงซากุระบานของที่นี่คือทีเด็ด)
.
นอกนั้นยังไม่พอ เพราะเราขอชวนให้พวกยูแวะไปคุมาโมโตะ เมืองที่ไม่ได้มีดีแค่คุมามง แต่มงลงที่แท้คือธรรมชาตินะจ้ะยูววว ภูเขาไฟอะโสะงี้ พายเรือลอดช่องเขางี้ คือดี
ทั้งนี้ทั้งนั้น จะไปทั้งทีต้องฟินให้สุด ใช่จ้ะ AirAsia เค้าเปิดรูทใหม่บินตรงฟุกุโอกะแล้วววว ด้วยราคาน่ารักตาวาว เริ่มต้นที่ 2,990.- ต่อเที่ยวเท่านั้น แถมใครมี BIG Points ก็ลดเพิ่มกันเข้าไปอีก มือลั่นไม่ลั่นถามใจดู
.
ไม่พูดพร่ำทำเพลง เชิญมาดูลายแทงที่เที่ยวได้ในรูปถัดไปเลย
ใครคลิกก่อน โดนป้ายยาก่อนแน่นอน
#ญี่ปุ่นมุมใหม่#ไปฟุกุโอกะไปกับไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์#ตัวจริงบินตรงสู่ญี่ปุ่น
#gogetlostFukuoka
นอกจากจะมีรูทโตเกียว โอซาก้า นาโกย่า ซัปโปโรแล้ว ตอนนี้แอร์เอเชียเค้าเปิดรูทใหม่ล่าสุดบินตรงจากดอนเมืองไปสู่ฟุกุโอกะแล้วนะ! บอกเลยว่านี่เป็นหนึ่งในเมืองโปรดของเรา รองๆ ลงมาจากเกียวโตเลยทีเดียว เพราะมีบรรยากาศของความช้าๆ วัฒนธรรม และธรรมชาติที่เราชอบ 🙂
.
เปิดตัวด้วยราคาเริ่มต้น 2,990 บาท ต่อเที่ยวเท่านั้น
สามารถจองได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และเริ่มเดินทางได้เลยตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2562 นี้จ้าา
อ้อ พิเศษสำหรับชาว BIG อย่าลืมใช้ Points จ่ายค่าตั๋ว ลดชัวร์ทุกทริป
จะซื้อผ่านเว็บหรือผ่านแอพก็ได้หมดแล้วน้า
ทริปนี้ไปทั้งหมด 4 วัน
บินกับแอร์เอเชีย ขาไปจะถึงแต่เช้าตรู่ เที่ยวต่อได้เลย ส่วนขากลับบินแต่เช้า ถึงไทยตอนเที่ยง เราจึงมีเวลาเที่ยวแบบเต็มๆ ทั้งหมด 4 วันนั่นเอง
.
เราแบ่งทริปออกเป็น 2 พาร์ทใหญ่ๆ คือคุมาโมโตะ (Kumamoto) 2 วัน กับฟุกุโอกะ (Fukuoka) 2 วัน
วันที่ 1
แลนด์แล้วซื้อ Northern Kyushu Pass ที่ Hakata St. (ซื้อจากไทยไปก็ได้ แต่ต้องไปแลกอยู่ดี) แล้วนั่งชิงคันเซนมุ่งหน้าไปยังเมืองคุมาโมโตะเลย ฝากกระเป๋าให้เรียบร้อยก็รีบกระโจนขึ้นบัสไปภูเขาไฟอะโสะ
*เนื่องจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ทำให้รถไฟตอนนี้ไม่มีวิ่งตรงไปยังสถานี Aso นะจ๊ะ ต้องต่อบัสอย่างเดียวเท่านั้น ทำให้ใช้เวลาหมดไป 1 วันเต็มๆ เลยทีเดียว
วันที่ 2
หลังจากนอนหลับพักผ่อนที่เมืองคุมาโมโตะในคืนแรกแล้ว วันที่ 2 เราจะขึ้นบัสจาก Kumamoto Station ไปยัง Takachiho Bus Center กัน แน่นอนว่ายาวนานอีกตามเคย พกข้าวปั้น น้ำชาไปกินบนรถกันได้เลยจ่ะ ถึงแล้วต้องนั่งรถแท็กซี่ต่อไปอีกนิดนึง (หรือจะเดินก็ได้ 20 นาที) แล้วก็เอ็นจอยธรรมชาติได้เลย ข้อควรระวังคือ บัสมีวันละ 2 รอบเท่านั้น ห้ามตกรถ!
วันที่ 3
วันนี้เที่ยวในเมืองคุมาโมโตะ ได้แก่ สวนซุยเซ็นจิ (Suizenji Park) และปราสาทคุมาโมโตะ (Kumamoto Castle) ตัวเรานั้นชอบสวนมากกก อยากใช้เวลานานกว่านี้อีกหน่อย ส่วนตัวปราสาทผุพังและถล่มไปเพราะแผ่นดินไหวซะเยอะเลย เลยใช้เวลาไม่นาน
.
ครึ่งวันบ่ายนั่งชิงคันเซนกลับเมืองฟุกุโอกะ เก็บของเข้าที่พัก แล้วถึงออกมาดูปราสาทฟุกุโอกะ (Fukuoka Ruins), สวนไมซุรุ (Maizuru Park) และสวนโอโฮริ (Ohori Park) ที่อยู่ติดกัน ชิวมากๆ อยากเอาเสื่อไปปูนอนเล่น ตกเย็นอย่าลืมไปแวะไปทานสตรีทฟู้ดที่ Yatai Food Stall
วันที่ 4
ครึ่งวันเช้าเราตรงดิ่งไปดาไซฟุ (Dazaifu) จ่ะ จะมีสถานที่ท่องเที่ยวหลายที่อยู่รวมกันที่สถานีเดียว ตั้งแต่ศาลเจ้า, Starbucks, เสาสีแดง และพิพิธภัณฑ์ด้วยนะ ใช้เวลากันตามอัธยาศัย ครึ่งวันบ่ายค่อยกลับมาเก็บเมืองฟุกุโอกะต่อ จะเดินเล่น ช็อปปิ้ง หรือคาเฟ่ฮ็อปปิ้งก็ได้หมด เป็นอันปิดทริป แพคกระเป๋าให้เรียบร้อยก่อนเดินทางกลับในวันรุ่งขึ้น
สรุปราคามาให้ตามนี้เลยย
ราคาตั๋วเครื่องบินที่แสดงให้ดูเป็นราคาเริ่มต้นโปรที่ถูกที่สุดที่เรากดได้นะ ไปกลับประมาณ 6 พันเท่านั้นนน ที่พัก ของกิน กินอยู่แบบคนปกติ แพงบ้าน ถูกบ้าง แฟมิลี่มาร์ทบ้าง นอนสบายแต่ไม่ได้หรูเว่อ ออกมาทั้งหมดก็ประมาณนี้เลย
.
เราซื้อ Northern Kyushu Pass 5 วันไปด้วย เอาจริงๆ คิดว่า 3 วันก็อาจจะพอ แต่คิดไม่ทัน5555 แต่ราคาไม่ได้ต่างกันมาก ยังไงลองคำนวณดูกันอีกทีน้า
ภูเขาไฟอะโสะ (Mt. Aso) — Kumamoto
ถ้าจะให้พูดถึงภูเขาไฟลูกใหญ่ที่ยังคงประทุอยู่ แน่นอนว่าภูเขาไฟอะโสะ (Mt. Aso) จะต้องเป็นชื่อแรกๆ ที่เราพูดถึงกันอย่างแน่นอน
.
ที่จริงแล้วเมืองอะโสะเป็นเมืองที่มีแหล่งท่องเที่ยวอยู่หลายที่เลยล่ะ ค่อนไปในแนวสโลว์ไลฟ์ ใช้ชีวิตกลางบ่อออนเซ็น แต่สิ่งหนึ่งที่โด่งดังมากกก และดึงดูดนักท่องเที่ยวมากมายจากทั่วโลกให้มาเยือนที่นี่ คงหนีไม่พ้นภูเขาไฟอะโสะ ที่คลับคล้ายคลับคลาจะประทุตั้งแต่ปี 2016 แต่สุดท้ายแล้วก็ยังคุกกรุ่นอยู่ ทำให้ปัจจุบันการไปเที่ยวที่ภูเขาไฟอะโสะจะสามารถเที่ยวได้แค่บริเวณรอบๆ เท่านั้น ไม่สามารถเข้าไปใกล้ปากปล่องภูเขาไฟ
.
แต่! แค่นั้นก็เพียงพอที่จะให้เราได้ชื่นชมกับบรรยากาศโดยรอบแล้ว ช่วงที่เราไปมาเป็นปลายหนาว กำลังเข้าฤดูใบไม้ผลิ เชื่อว่าแห้งเหี่ยวที่สุดแล้วในบรรดาทุกฤดูกาล แต่เรากลับชอบมากกกกก ยิ่งเค้าปล่อยม้าออกมาเล็มหญ้าด้วยนะ ให้ฟีลประหนึ่งกำลังเดินอยู่ในทุ่งมองโกเลียเลยเว่ยแกร
วิธีการเดินทาง
ต้องบอกว่าเดี๋ยวนี้ไม่ง่ายเหมือนแต่ก่อน ถ้าเช่ารถขับมาเองจะสบายกว่ามาก แต่ถ้าไม่มีรถแบบเราต้องขึ้นรถไฟแล้วต่อรถบัส แล้วก็ต่อรถบัสอีกที เพื่อมาถึงบริเวณรอบๆ ภูเขาไฟอะโสะ แล้วอย่าลืมพกเสื้อกันลมติดกระเป๋าแล้วก็เสื้อตัวเก่งเอาไว้ถ่ายรูปกันรัวๆ
เวลาเปิด/ปิด
ต้องคอยเช็คนะ แต่ละเดือน แต่ละสถานการณ์ภูเขาไฟมีผลต่อเวลาเปิดปิดหมดเลยย
http://www.aso.ne.jp/~volcano/eng/
.
March 20 – October 31 / 8:30 a.m. to 5:30 p.m. / Closed at 6:00 p.m.
November 1 – November 30 / 8:30 a.m. to 5:00 p.m. / Closed at 5:30 p.m.
December 1 – March 19 / 9:00 a.m. to 4:30 p.m. / Closed at 5:00 p.m.
การเดินทาง
รถยนต์ส่วนตัว ให้จิ้ม GPS ไปที่ Daikanbo (จุดชมวิวกลุ่มภูเขาไฟอะโสะ), Kusasenri (ทุ่งหญ้าม้าสวย) หรือ Aso Volcano Museum ได้เลย
รถสาธารณะ
JR Kumamoto St. —> JR Higo-Ozu St. —> ต่อบัสไป Aso St. —> Aso Crater Line Bus
หรือจะนั่งบัสต่อเดียวจาก JR Kumamoto St. ไป Aso St. ก็ได้ มีเหมือนกันจ้า
Takachiho Gorge — Kumamoto
ไปพายเรือดูน้ำตก ที่ช่องเขาธรรมชาติกลางป่ากันเถอะ
ถ้าจะบอกว่านี่คือการชวนไปเข้าป่า ก็คงจะไม่ผิดนัก เพราะ Takachiho Gorge นั้น ซ่อนตัวอยู่กลางธรรมชาติไกลออกไปจากเมืองคุมาโมโตะกว่า 80 กิโล
.
ช่องเขาทาคาชิโฮนั้น เกิดขึ้นจากลาวาของภูเขาไฟอะโสะที่เย็นตัว+ถูกการกัดกร่อน กัดเซาะมายาวนาน จนกลายมาเป็นแง่งหินบะซอลต์สีดำเข้มจำนวนมากอย่างที่เห็นในปัจจุบัน เราสามารถซึบซับความงามของที่นี่ได้ทั้งการเดินดูจากด้านบน เลาะช่องเขาไปเรื่อยๆ หรืออีกทางนึงที่ฮิตมากๆ ก็คือลงไปพายเรือในช่องเขาข้างล่างนั่นเลย (2,000 yen/ลำ/30นาที)
ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้มาช่วง High Season แต่ความเขียวและอากาศบริสุทธิ์ของที่นี่ยังทำเอาเราหลงรักเข้าไปเต็มๆ คิดดูว่าถ้ามาช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีจะขนาดไหน
หลังจากเต็มอิ่มกับธรรมชาติรอบๆ แล้ว อย่าลืมแวะไปลอง Somen ที่ร้านค้าบริเวณนั้นด้วยล่ะ ไฮไลท์คือเค้าจะปล่อยเส้นหมี่ล่องมาตามน้ำในกระบอกไม้ไผ่ให้เราคีบเอง อร่อยมากกกกกกก อร่อยที่สุดตั้งแต่เคยกินมา เป็นบะหมี่เย็นที่เย็นด้วยน้ำที่ไหลมาจากธรรมชาติจริงๆ ให้เราคีบมากินได้สดๆ ตอนนั้นเลย เคยเห็นมานานตามรายการทีวีญี่ปุ่น ในที่สุดก็ได้มีโอกาสมาลองกินซะที555
เวลาเปิด/ปิด
ช่องเขาเปิดตลอด แต่ที่เช่าเรือจะมีเปิดเวลา 8.30-17.00 เช็คในนี้ได้เลย
http://takachiho-kanko.info/en/sightseeing/
การเดินทาง
รถยนต์ส่วนตัว จิ้มมาที่ Takachiho Gorge เลยย
รถสาธารณะ
นั่งบัสจากสถานี Kumamoto ไปลง Takachiho Bus Center แล้วต่อแท็กซี่
ความพีคคือ บัสจะมีแค่วันละ 2 รอบนะจ้ะ คือ 9.11 กับ 15.31 โปรดเช็คตารางรถทุกครั้งก่อนจะไป
Suizenji Garden—Kumamoto
ไม่ไกลจากสถานี Kumamoto สวนดั้งเดิมสไตล์ญี่ปุ่นอย่าง Suizenji Garden แทรกตัวอยู่เงียบๆ ท่ามกลางตึกรามบ้านช่องของเมืองนี้ เดิมทีสวน Suizenji สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 17 โดยตระกูล Hosokawa แต่จะสร้างสวนไว้เดินเล่นหลังบ้านทั้งที ธรรมดาโลกไม่จำ ก็เลยจำลอง the Tokaido ซึ่งเป็นถนนสายสำคัญที่เชื่อมระหว่าง Edo เข้ากับ Kyoto ในสมัยราชวงศ์เอโดะนั่นเอง
ภายในบริเวณสวนนอกจากจะมีการจำลองเนินภูเขาไฟฟูจิไว้แล้ว ยังมีศาลเจ้า ทิวเสาสีแดงและบรรดาสัตว์น้อยใหญ่ ตั้งแต่ปลาคาร์ฟ นกกะเรียน น้องเป็ด อีกจำนวนมาก ให้ได้เพลิดเพลินไปจนลืมเวลาได้เลย
.
เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ถ้าใครอินสวนญี่ปุ่นไม่อยากให้พลาดด้วยประการทั้งปวง ถ้ามีเวลามากหน่อย หาโอกาสเข้าไปจิบชาใน Tea House ก่อนกลับด้วยน้า รับรองได้บรรยากาศประหนึ่งย้อนกลับไปในอดีตญี่ปุ่นแน่นอน
ค่าเข้า
400 yen/คน
เวลาเปิด/ปิด
Mar.-Oct.: 7:30~18:00 (Entrance open until 5:30 pm)
Nov.-Feb.: 8:30~17:00 (Entrance open until 4:30 pm)
การเดินทาง
นั่งรถ Tram มาลงสถานี Suizenji Garden แล้วเดินต่ออีกประมาณ 10 นาที
Kumamoto Castle
แลนด์มาร์คสำคัญของเมือง Kumamoto จะเป็นที่ไหนไปไม่ได้ นอกจาก Kumamoto Castle
ปราสาทคุมาโมโตะสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 17 เป็น 1 ใน 3 ปราสาทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ท่ีถูกออกแบบมาอย่างซับซ้อนเพื่อใช้เป็นป้อมปราการการรบกับศัตรูข้าศึก
.
เราเคยมาปราสาทคุมาโมโตะครั้งแรกตั้งแต่ปี 2015 นู้น บอกเลยว่าประทับใจกับความใหญ่โตอลังการของที่นี่สุดๆ เพราะตัวปราสาทถูกเก็บรักษาคงสภาพไว้เป็นอย่างดี แต่โชคร้ายที่แผ่นดินไหวปี 2016 ได้ส่งผลกระทบต่อปราสาทและบริเวณรอบๆ เป็นอย่างมาก เรากลับมาอีกครั้งโดยไม่ได้คิดเลยว่าจะได้เห็นซากปรักหักพังของปราสาทที่ครั้งหนึ่งเคยยิ่งใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของญี่ปุ่นอยู่ตรงหน้า
ความน่ารักก็คือ คนก็ยังมาเที่ยวกันเยอะมากๆ อยู่เลย แถมส่วนใหญ่เป็นคนญี่ปุ่นด้วยกันเองนะ แต่ละจุดตอนนี้จะเป็นเหมือนกับ Museum ให้คนมาศึกษาดูผลกระทบของภัยพิบัติธรรมชาติที่มีกับตัวปราสาท ยังไงก็เป็นกำลังใจให้ชาวคิวชูฟื้นฟูปราสาทคุมาโมโตะให้กลับมาได้ในเร็ววันด้วย
อ้อ อย่าเพิ่งเศร้าไปขนาดนั้น นอกจากตัวปราสาทแล้ว ที่นี่ยังปลูกซากุระไว้รอบๆ เป็นจำนวนมากกก ถ้าใครบังเอิญกดตั๋วทันช่วง Hanami รับรองว่าที่นี่จะต้องเป็นอีกหนึ่งจุดปิกนิคที่น่าประทับใจแน่นอน
ค่าเข้า
ตอนนี้ไม่มี เพราะเค้ายังซ่อมไม่เสร็จ
เวลาเปิด/ปิด
8.30 – 17.30
การเดินทาง
นั่งรถ Tram มาลงสถานี Kumamoto Castle/City Hall แล้วเดินต่ออีกประมาณ 10 นาที
Fukuoka City — Fukuoka Castle Ruins, Maizuru Park, Ohori Park
มาถึงฟุกุโอกะทั้งที ก็ควรที่จะไปเช็คอินที่ปราสาทฟุกุโอกะซักหน่อย แต่! ที่นี่เหลือเป็นแค่ซากปรักหักพังแล้วนะจ้ะ เดินแค่ไม่ถึงครึ่งชม. ก็ครบหมดแล้ว แต่นอกจากจะเป็นการมาเยี่ยมเยือนปราสาทที่ครั้งหนึ่งเคยยิ่งใหญ่มากๆ ในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นแล้ว ที่นี่ยังเป็นจุดชมวิวซากุระชั้นดี ที่ไม่ว่าใครๆ ก็ควรจะมาเยือน ตั้งแต่หน้าทางเข้าปราสาทจนทะลุไป Maizuru Park เราจะเห็นต้นซากุระเรียงรายกันเป็นแถว แน่นอนว่าช่วง Hanami ที่นี่คงคนเยอะน่าดูเลยทีเดียว
.
เดินต่อมาจากปราสาท และ Maizuru Park ไม่ไกล เราจะเจอกับ Ohori Park ขนาดใหญ่ที่บรรยากาศชิวมากกกกก เราชอบสวนนี้เพราะเหมือนกับว่าได้ไปสัมผัสกับสวนลุมของคนฟุกุโอกะจริงๆ อะ คนโลคัลมาวิ่งกันเพียบ มีลูกจูงลูก มีหมาจูงหมา แล้วก็นั่งชิวริมน้ำกันไปสิ โอ้ยชอบ
หรือถ้าใครจะมาสายชิคสายคาเฟ่ จะแวะจิบชากาแฟที่ Starbuck หรือ Royal Garden Cafe ก็ฟินไม่แพ้กัน
.
ปล. ตรงกลางมีสวนสไตล์ญี่ปุ่นแอบซ่อนอยู่ด้วยนะ ใครมีโอกาสฝากแวะไปดูที
เวลาเปิด/ปิด
9.00-18.00
การเดินทาง
นั่ง Subway มาลงสถานี Ohorikoen แล้วเดินต่ออีกประมาณ 10 นาที (เราเริ่มเดินจาก Fukuoka Ruins —> Maizuru Park —> Ohori Park)
Dazaifu — Fukuoka
จะเรียกได้ว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตในการมาฟุกุโอกะก็ไม่ผิดนัก
Dazaifu อยู่ห่างออกไปจากตัวเมืองฟุกุโอกะประมาณครึ่งชม. เป็นเมืองเล็กๆ ที่แต่ดั้งเดิมเป็นเหมือนที่ทำการรัฐหรือออฟฟิศหลักของคิวชูนั่นล่ะ ไปๆ มาๆ ออฟฟิศแห่งนี้ก็ขยายตัวเป็นชุมชนขนาดใหญ่ จนกลายมาเป็นเมืองในที่สุด
.
1 day trip ใน Dazaifu ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ง่ายและครอบคลุมหลายสถานที่ เราสามารถเยี่ยมชมได้ทั้ง Dazaifu Temmangu (ศาลเจ้าหลัก), Komyozenji (วัดเล็กๆ ที่มีสวนหินข้างหลังที่สวยงามมาก), Tenkai Inari Shrine (ทิวเสาสีแดงขึ้นไปด้านบนเขา) หรือถ้าสายกินสายคาเฟ่ ทางด้านหน้าเมื่อลงจากสถานี ก็จะมีให้เราช็อปมาตลอดทางเลยทีเดียว ไฮไลท์ของถนนเส้นนี้คงหนีไม่พ้น Starbuck ที่ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดังอย่าง Kengo Kuma
.
ส่วนอีกหนึ่งสิ่งที่ส่วนตัวเราแนะนำให้ลองไปเดินดู ก็คือ Kyshu National Musuem แน่นอนว่าเสียค่าเข้า แต่เราว่าเค้าทำดีมากกกก ตั้งแต่บริเวณข้างในอาคารไปจนถึงการจัดแสดง ภาษาไม่มีผลต่อการเรียนรู้จริงๆ เพราะเค้าทำสื่อไว้ได้ดีมากเลย ใครมีเวลาลองแวะไปดูกันนะ
ค่าเข้า
Dazaifu ไม่มีค่าเข้า/Kyushu National Museum 430 yen/คน
เวลาเปิด/ปิด
หาเวลาเปิดไม่เจออ แต่เซฟๆ ก็ไปช่วงประมาณ 8.00-17.00 น้าา เดินประมาณครึ่งวันก็ครบแล้ว
การเดินทาง
นั่ง Subway มาลงสถานี Dazaifu St. แล้วถึงเลยย
(ส่วนเรามี Northern Kyushu Rail Pass อยู่แล้ว จะนั่งมาลง JR Futsukaichi St. ก่อนนะ แล้วเดินไป Nishitetsu Futsukaichi St. เพื่อต่อรถไป Dazaifu St. อีกที)
Taste Original Food at Fukuoka/Yatai Food Street
มาญี่ปุ่น ก็ต้อง มากิน!
.
นอกเหนือไปจากชาเขียว ข้าวปั้น เต้าหู้ ซูชิเย็นๆ ใน Family Mart ที่เราขยันซื้อกินอยู่ทุกวันนั้น เรายังได้แวะร้านอาหารอีกหลากหลายรายทางระหว่างเดินทางใน Fukuoka ด้วย ลายแทงตามนี้เลย
Ichiran Ramen — Fukuoka
ต้นตำรับราเม็งข้อสอบอยู่ที่ฟุกุโอกะนั่นเอง อย่าถามฉันว่าฉันทำสอบได้ไหม ฉันก็จิ้มไปมั่วๆ เหมือนกัน 5555 วิธีการก็คือเราเข้ามาในร้านปุ้บ ต้องหยอดตัง กดเมนูก่อน แล้วเข้าไปนั่งทำข้อสอบในคอกกินของตัวเอง ติ้กไปเลยชอบน้ำข้น น้ำใส เผ็ดมั้ย เส้นแข็งเส้นนุ่ม อะ ไม่ลอกกันค่ะนักเรียน ชามใครชามมัน เสร็จแล้วเค้าก็จะมาเสิร์ฟตามคอกที่เราสั่งเลยจ้า
Muji Cafe — Fukuoka
เมื่อมูจิและคาเฟ่มารวมกัน ที่จริงอาจจะไม่ได้ใหม่มากในย่านญี่ปุ่น แต่เค้าบอกว่าที่นี่ใหญ่สุดในคิวชูเลยนะ กินไปช็อปไปสบายกระเป๋ามากๆ แถมตรงนี้ยังอยู่ใจกลางย่านช็อปปิ้งเลยนะ จะเดินไป Aesop, Bic Camera หรือ Mont Bell ก็อยู่แถวนี้ทั้งนั้น
Daimyo Vintage Street
เดินมาจาก Muji Cafe ไม่ไกล เราจะเหมือนหลุดไปอยู่อีกโลกนึง เพราะทุกคนใส่เสื้อตัวโคร่ง แต่งตัวสีสันจัดจ้าน ใช่เลย คุณได้หลุดมาอยู่ใน Daimyo Street แล้ว ย่านที่มีของวินเทจเก๋ๆ ขายมากมาย แถมมีคาเฟ่ ขนมหวาน ให้ได้แวะทานด้วยนะ (จะคล้ายๆ กับ Shimokitazawa ในโตเกียว)
Yatai Street Food
ใช่ค่ะ อาหารข้างทาง ในประเทศญี่ปุ่น
คือไม่รู้จะบรรยายยังไง เพราะเป็นอาหารข้างทางได้ญี่ปุ่นมากอะ เก็ตมั้ย555 ไปอ่านมาเค้าบอกว่าทางการคิวชูเพิ่งส่งเสริมให้มีสิ่งนี้เกิดขึ้นมาเมื่อปี 2017 นี่เอง แล้วก็ดันบูมมากๆ ด้วย สังเกตได้จากนักท่องเที่ยวเกาหลีและจีนที่นั่งกินอยู่ในซุ้มจำนวนมาก ส่วนใหญ่กระจุกตัวเรียงรายกันอยู่เลียบแม่น้ำ แต่พอเดินกลับโรงแรมก็แอบเจอแรนด้อมอยู่ฟุตบาธข้างถนนก็มีเหมือนกัน