เฉิงตูมีดีอะไร ทำไมเราถึงอยากชวนไปออกสำรวจกัน
ขึ้นชื่อว่าเมืองจีน ก็คือความยิ่งใหญ่ไพศาลกับพื้นที่กว้างกว่าครึ่งโลก จีนในปัจจุบันมีบ้านเมืองสวยงามทันสมัยขึ้นเยอะมากๆ เที่ยวง่าย สะอาดสะอ้าน แถมที่ไม่อยากให้พลาดเลยก็คือการไปเยี่ยมเยือนแหล่งทรัพยากรทางธรรมชาติของจีน ที่อลังการไม่แพ้ชื่อเสียงด้านความเป็นเมืองมหาอำนาจมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกในเวลานี้
ทริปนี้เราเดินทางไปเฉิงตู มณฑลเสฉวน ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของจีน นอกจากใหญ่เป็นอันดับที่ 4 เทียบกับมณฑลอื่นๆ แล้ว มณฑลนี้ยังได้ชื่อว่ามีอาหารที่รสชาติจัดจ้านในย่านเมืองจีน! หม้อไฟเอย เกี๊ยวจีนเอย เต้าหู้ผัดพริกเอย หม่าล่าเอย โอ้โหหห ใครชอบอะไรเด็ดๆ เผ็ดๆ และไม่เลี่ยน เสฉวนนี่ล่ะสวรรค์ของคนรักการกินชัดๆ
เฉิงตูเลยกลายเป็นอีก 1 ทริปที่เราชอบบบบมากที่สุดอีกที่นึง ด้วยความที่ตอบโจทย์ครบทุกอย่าง ได้ทั้งกิน เที่ยวเมือง เที่ยวธรรมชาติและที่สำคัญคือสวยแพง แต่ไม่แพงอย่างที่คิด!
ทำสรุปเป็นอัลบั้มมาให้แบบละเอียดยิบให้เซฟเก็บไว้ดูแล้วเรียบร้อยย เหลือก็แค่จองตั๋วนะจ้ะ
- Vlog Chengdu EP.1: https://youtu.be/ngA6Z_-jYpM
- Vlog Chengdu EP.2: https://youtu.be/_phy8Awcqx8
- Vlog Chengdu EP.3: https://youtu.be/ba0OB-on_KM
- 10 ข้อ ทำไมเราชวนไปเฉิงตู: http://bit.ly/10reasons-Chengdu
IN A NUTSHELL
ค่าใช้จ่าย: ประมาณ 26,000 บาท รวมตั๋ว บินตรงไปเฉิงตูกับแอร์เอเชีย
อาหารการกิน: กินง่ายเหลือเกิน เพราะที่นี่คือมณฑลเสฉวน ต้นกำเนิดหมาล่า! อาหารรสจัด ถูกปากคนไทยแน่นอน
ที่พัก: สวยยยและไม่แพง มีให้เลือกตั้งแต่คืนละ 500-1,000+
การเดินทาง: ในเมืองนั่งรถไฟฟ้า, แท็กซี่ ราคาไม่แพง, ออกไปเที่ยวนอกเมืองนั่งบัส หรือเช่ารถพร้อมคนขับ
ค่าเงิน: 1 หยวน ตอนนี้ไม่ถึง 5 บาท แล้วน้า 4 บาทนิดๆ เท่านั้น
ช่วงเวลาการเดินทาง: เราเดินทางกันวันที่ 22-28 October 2019 เป็นช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี แต่เจอหิมะตก
แผนที่การเดินทาง
ทริปนี้เราเดินทางกันทั้งหมด 6 วัน 6 คืน ตั้งแต่วันที่ 22-28 ตุลาคม 2019 บินตรงไปเฉิงตูจากไทยด้วยไฟลท์ของแอร์เอเชีย แต่ก็ด้วยความใหญ่โตมโหฬารของประเทศจีนนั้น ที่ท่องเที่ยวที่ว่าใกล้เฉิงตู ก็คือไกลออกไปหลักหลายชั่วโมง และแน่นอนว่าไม่ได้ทำได้หลาย stop นักใน 1 วัน
ลงเฉิงตูปุ๊บ วันแรกเราตั้งเป้าไปจุดหมายที่ไกลที่สุดก่อนเลยคือ จิ่วไจ้โกว หลังจากนั้นจึงค่อยๆ ขับรถลงมาเรื่อยๆ ที่หวงหลง ต้ากู่กลาเซียร์ จนกลับมาที่เมืองเฉิงตูอีกครั้งเป็นที่สุดท้าย
- Chengdu -> Jiuzhaigou (10hr)
- Jiuzhaigou -> Huanglong (4hr)
- Huanglong -> Dagu Glacier (6hr)
- Dagu Glacier -> Chengdu (6hr)
เตรียมเบาะรองนั่งกันมาให้พร้อม เพราะเกือบครึ่งนึงของทริปนี้กว่าจะไปเจอของสวย ก็คือนั่งรถกันไปยาวๆ เลยจ้ะ
ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
ทริปนี้เราไปกัน 4 คน คนละ 2 หมื่นต้นๆ เท่านั้นไม่รวมตั๋ว ซึ่งก็บวกมาให้เร็วๆ แล้วเป็นราคาบินตรงกรุงเทพฯ เฉิงตู เจ้าดีเจ้าเดิม ของแอร์เอเชียนั่นเอง มีตั้งแต่ราคา 3,000~7,000 แล้วแต่ช่วงเนอะ ขาเที่ยวเมืองจีนอย่างก็คือบินกับแอร์เอเชียตลอดเพราะรูทเยอะมาก อยากจะเก็บให้ครบทุกเส้นเลยจริงๆ เพราะจีนยังมีอะไรให้ Explore อีกเยอะ
นอกจากตั๋วเครื่องบินแล้ว ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่จะไปหนักที่ Private Tour และตั๋วเข้าอุทยานต่างๆ นานา
Private Tour
เราหาไพรเวททัวร์เองผ่านกูเกิ้ลและติดต่อผ่านอีเมล ส่งเมลหาหลายเจ้ามากๆๆ (5เจ้า+) เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้ทัวร์ที่ดีที่สุด ในราคาที่เราโอเคมากที่สุด มาลงเอยที่ West China Go (info@westchinago.com) โดยติดต่อผ่านคุณ Lily ที่ลีลาการพูดภาษาอังกฤษและการประสานงานเป็นเลิศ จบที่ราคา 960USD/group ไม่รวมค่าทิป/ค่าอาหารของคนขับ/คนขับพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ (แต่คุณลิลี่พูดได้คล่อง+คนขับคุ้นเคยกับการใช้แอปแปลภาษาคุยกัน)
ค่าเข้าอุทยาน
เนื่องจากอุทยานที่เราไปเที่ยวกันเนี่ยมีระดับตั้งแต่ A4 ตัวไปจนถึง A5 ตัว เพราะฉะนั้นมันก็จะมีค่าธรรมเนียมในการเข้าต่างๆ ที่ก็ให้เค้าไปเถ้อะะ ถือเป็นค่าบำรุงรักษาให้เราได้ไปเที่ยวนานๆ มักจะแบ่งเป็นราคาตั๋ว รถบัสเวียนในอุทยาน และกระเช้า
*สำคัญมาก มีบัตรนักเรียน จงหยิบติดมือไป เป็นส่วนลดได้มากมายก่ายกอง
• Jiuzhaigou: ~359rmb ฝากโรงแรมจอง
จิ่วไจ้โกวเพิ่งเปิดอีกครั้งหลังแผ่นดินไหวใหญ่ เมื่อปลายเดือน September 2019 ที่ผ่านมา ตอนนี้จึงจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวแค่เพียงวันละ 5,000 คนเท่านั้น และควรจะจองไปก่อน เราฝากโรงแรมที่จิ่วไจ้โกวจองก่อนล่วงหน้าประมาณ 20 วันยังปริ่มๆ จะเต็มเลยยย เพราะฉะนั้นอย่าประมาทเป็นอันขาด (แถมตอนนี้เค้ายังบอกว่าจองได้แค่กรุ้ปละ 1 วันด้วย อดเที่ยวจิ่วไจ้โกว 2 วันเลย)
• Huanglong: ตั๋วค่าเข้า+ตั๋วรถบัส 170rmb ตั๋วกระเช้าขาขึ้น 1trip 80rmb ซื้อหน้าทางเข้า (บัตรนักเรียนลดครึ่งราคาเฉพาะตั๋วค่าเข้า+ตั๋วรถบัสจาก 170rmb จะเหลือ 85rmb)
• Dagu Glacier: ตั๋วค่าเข้า 120rmb, ตั๋วรถบัส 70rmb, ตั๋วกระเช้าขึ้น-ลง 180rmb ซื้อหน้าทางเข้า (บัตรนักเรียนลดครึ่งราคาเฉพาะตั๋วค่าเข้าจาก 120rmb จะเหลือ 60rmb)
ส่วนค่ากินค่าที่อยู่ไม่ต้องเป็นกังวลใดๆ โรงแรมสวยราคาถูก มีอยู่จริง อาหารเสฉวนกินง่าย รสจัด ถูกปากคนไทยแน่นอน อย่าลืมเผื่อเงินไว้ทำวีซ่าจีนกับช็อปปิ้งจิปาถะอื่นๆ ด้วยล่ะ
แพลนการเดินทาง
ครั้งนี้เราเดินทางกันทั้งหมด 6 วัน 6 คืน ตั้งแต่วันที่ 22-28 ตุลาคม 2019 บินตรงไปเฉิงตูจากไทยด้วยไฟลท์ของแอร์เอเชีย แปปๆ ไม่ทันงีบก็ถึงแล้ว
ตั้งแต่ Day1-Day5 เราเช่า Local Private Tour รวมรถ 7 ที่นั่งและคนขับแล้ว เพื่อเดินทางออกนอกเมืองเฉิงตู ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายก้อนหลักๆ ของเราเลย ไม่ถูกเท่าไหร่ แต่รู้สึกว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องเพราะเราแวะหลายที่ แถมได้กินอาหาร local ตามที่คุณจาง คนขับรถพาไป แฮพพรี่แหละ ใครมาแบบแบ็คแพคกันคน 2 คนจะเปลี่ยนวิธีเป็นนั่งบัสมาแทนก็ได้ ประหยัดกว่าเยอะ แต่สบายน้อยกว่าแน่นอน555
ส่วน Day6 เรากลับมาในเมืองเฉิงตูแล้ว ก็นั่งรถแท็กซี่+เดิน ตามปกติเลย ค่าแท็กซี่ไม่แพงอย่างที่คิด นั่งกัน 4 คนหารออกมาก็สบายๆ คุยด้วย Google Translate ได้ก็ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น
- DMK-CTU 21.50-02.00 (นอนโรงแรมใกล้ๆ สนามบิน 1 คืน)
- Day1: Chengdu->Jiuzhaigou (~10hr)
- Day2: เที่ยวจิ่วไจ้โกวทั้งวัน (8am-5pm) ต้องซื้อตั๋วเข้าล่วงหน้าด้วย ฝากโรงแรมจองก่อนไปนะ
- Day3: ยังคงอยู่ที่จิ่วไจ้โกว แต่ไป Zhongcha Valley แทน ไม่ต้องใช้บัตรเข้าอุทยาน
- Day4: Jiuzhaigou->Huanglong (4hr) ขับรถออกจากจิ่วไจ้โกวแต่เช้าเพื่อไปหวงหลง เที่ยวหวงหลงให้เสร็จตั้งแต่ครึ่งเช้า เพื่อขับรถไปนอนอีกเมือง Huanglong-> Heishui (6hr)
- Day5: จากเมือง Heishui ประมาณ 10 นาทีก็จะถึงหน้าทางเข้าอุทยาน Dagu Glacier เผื่อเวลาขากลับกันด้วยน้า เพราะว่าต้องตีรถกลับเข้าเมืองเฉิงตูอีกนานนนเลย แถมรถติดอีก ทำทางอีก นั่งรถกันรากงอกประมาณนึง Dagu Glacier->Chengdu(6hr)
- Day6: เที่ยวเฉิงตูกันเพลินๆ เต็มวันไปเลยยย เพราะไฟลท์บินขากลับของเราวันนี้ตีสองแหนะ
- CTU-DMK 02.50 – 5.05
Jiuzhaigou National Park (九寨沟国家公园)
จิ่วไจ้โกว
เอาจริงๆ เราได้ยินชื่อจิ่วไจ้โกวมานานมากๆ ในฐานะแหล่งท่องเที่ยวสุดฮิตของทัวร์จีนที่คนรุ่นพ่อๆ แม่ๆ ทุกคนน่าจะรู้จัก แล้วเราเองก็ไม่เคยคิดอยากไปด้วยนะจนกระทั่งตอนโต เพราะคนน่าจะเยอะมาก วุ่นวาย อาหารจีน ต่างๆ นานา ตามภาพจำจีนสมัยก่อน หารู้ไม่ว่า มันสวย มาก!
บริเวณอุทยานแห่งชาติจิ่วไจ้โกวอยู่ทางตอนบนของเมืองเฉิงตู เป็นที่อยู่อาศัยของชาวทิเบตมานมนานและกินพื้นที่กว่า 700 ตารางกิโลเมตร มีทั้งสภาพภูมิประเทศแบบภูเขา ป่าสน น้ำตก และทะเลสาบที่สวยงามและหลากหลายมากๆ จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO นอกจากนั้นยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับ AAAAA level ของเมืองจีนด้วยนะ
A 5 ตัวนี้หมายความว่ายังไง?
ปกติแล้วสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองจีนจะมีการจัดลำดับและให้ความสำคัญแตกต่างกันไป ยิ่ง A มากก็คือเลอค่ามากนั่นเอง เป็นการให้คะแนนความสวยงาม รวมไปถึงระดับความเข้มข้นในการดูแลรักษาจากรัฐบาลอีกด้วยนะ ที่ไหนที่ได้ปั๊มตราว่ามี A 5 ตัวก็คือที่สุด เลเวลเดียวกันกับพระราชวังต้องห้าม หอฟ้าเทียนฐาน กำแพงเมืองจีน อะไรแบบนั้นเลย
จิ่วไจ้โกวเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ช่วงปี 2017 และปิดปรับปรุงอยู่นานถึง 2 ปี เพิ่งมาเปิดให้เข้าชมอีกทีก็เมื่อ 27 September 2019 ที่ผ่านมานี่เอง หลายคนก็พูดอยู่เหมือนกันว่าจิ่วไจ้โกวหลังแผ่นดินไหวไม่สวยเท่าก่อนหน้า แต่ใครจะว่ายังไงเราก็ยังรู้สึกว่าสวยและยิ่งใหญ่มากๆ อยู่ดี ข้อสำคัญคือระบบจัดการภายในอุทยานดีมาก นอกจากจะมีการจำกัดนักท่องเที่ยวในแต่ละวันแล้ว พวกรถบัส ห้องน้ำ อะไรต่างๆ ก็ตั้งใจทำดีมาก ขาดอย่างเดียวก็คือคนพูดภาษาอังกฤษ ซึ่งให้อภัย เพราะที่นี่ประเทศจีน
- ตั๋วค่าเข้า ตกคนละ ~359rmb โดยต้องจองมาก่อนล่วงหน้านะ walk in มาซื้อหน้าประตูไม่ได้ เราฝากโรงแรมจองก่อนประมาณ 20 วันก่อนมา ยังเกือบๆ จะเต็ม คงเป็นเพราะเพิ่งเปิดด้วย
- เวลาเปิดปิด 7:00 – 19:00
Jiuzhaigou Bus Route — เส้นทางเดินรถ
หลังจากยื่นตั๋วเข้ามาในอุทยานแล้ว เราจะต้องกระโดดขึ้นรถบัส และ hop ไปตามที่ต่างๆ ด้วยรถบัสของอุทยาน ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น ซ้าย ขวา ล่าง ตามลักษณะรูปตัว Y ของแผนที่เดินรถ
ใจจริงด้วยขนาดความใหญ่เท่านี้ของอุทยาน เราก็อยากจะไปเที่ยว 2 วันอยู่หรอก แต่โรงแรมซึ่งเป็นคนจองตั๋วเข้าอุทยานให้ก็เซอร์ไพรส์ตอบกลับมาว่า ปีนี้ให้จองได้แค่กรุ๊ปละ 1 วันเท่านั้นจ้า เป็นอันแป้วไป เราเลยต้องมานั่งจัดเวลากันใหม่ว่าจะแวะหรือไม่แวะอะไรดีให้ทันภายใน 1 วัน
รถบัสของเราจอดจุดแรกที่ Shuzheng Village จากจุดนี้เราต้องเดินไปยังศูนย์กลาง Tourist Center เพื่อเลือกนั่งรถบัสไปยังจุดท่องเที่ยวต่อไป เราเช็คลิสต์มาทั้งหมดได้ 7 ที่ ได้แก่
Shuzheng Village
Rhinoceros Lake
*Five Flowers Lake อันนี้ไฮไลท์มาก คนเยอะมากเช่นกัน
Pearl Shoals Waterfall
Mirror Lake
Long Lake
Five Colored Lake
หลังๆ ก็คือเหมือนกันหมดแล้วเพราะวันที่เราไปฝนตก! เปียกมาก และหนาวมากๆ จนกระทั่งขึ้นไปถึง Long Lake หิมะก็ตกลงมาเลยจ้า ลาก่อนท้องฟ้าสดใส เป็นอันปิดทริปจิ่วไจ้โกวที่ได้ครบรสครบฤดู ตั้งแต่ใบไม้เปลี่ยนสี ฝน และหิมะขาวๆ กันไปถ้วนหน้า
คำแนะนำคือให้หาจุดที่อยากไปล่วงหน้าก่อนแล้วเซฟรูปกับเซฟชื่อไว้ในมือถือ เพื่อสอบถามเจ้าหน้าที่ในบัสให้แน่ใจว่าไปถูกที่แล้ว ถ้าโชคดีก็จะเจอคนพูดภาษาอังกฤษได้ อาจจะงงในช่วงแรกแต่ไม่ยากขนาดนั้นแน่นอน
Zhongcha Valley (中查沟)
ทิวเขาหมู่บ้านจงฉา
แพลนดั้งเดิมของเราตั้งใจว่าจะเที่ยวจิ่วไจ้โกวเป็นเวลา 2 วัน แต่อนิจจา ปีนี้จองได้แค่กรุ๊ปละ 1 วันเท่านั้น เลยต้องทำยังไงก็ได้ที่เที่ยวแล้วไม่ต้องใช้ตั๋วเข้าจิ่วไจ้โกว
หมู่บ้านจงฉาอยู่ในบริเวณพื้นที่จิ่วไจ้โกว ถัดออกมาไม่เกินครึ่งชั่วโมง จริงแล้วก็คือหมู่บ้านแบบที่ชาวทิเบตดั้งเดิมอาศัยอยู่นั่นแหละ แต่ด้วยอิทธิพลของสถานที่ท่องเที่ยวเบอร์ท็อปของจีนอย่างจิ่วไจ้โกว หมู่บ้านจงฉาบางส่วนเลยกลายไปเป็น Eco Tourism แบบปลอมๆ ถ้าเข้าไปดูใน TripAdvisor จะเห็นฝรั่งโกรธกันเต็มเลย เพราะจะมีกิจกรรมพาไปขี่ม้าดูบ้าน ดูวัด แบบที่เค้ามองว่าเป็นการเรี่ยไรเงินมากกว่าไปดูวิถีชีวิตที่แท้จริง
ส่วนเรานั้น ไม่ได้ซื้อไม่ได้จ่ายอะไรเลย ไปเดินเล่นบนภูเขาเอาบรรยากาศเฉยๆ ก็เลยอาจจะไม่ได้มีอารมณ์ร่วมในส่วนนี้มาก เป็นการพาตัวเองไปปิคนิคท่ามกลางหมู่จามรีที่ยืนมองแบบงงๆ อย่างใกล้ชิด เปลี่ยนบรรยากาศความ Tourism มาจากจิ่วไจ้โกวเมื่อวานได้ดีสุดๆ เพราะไม่มีใครเลยนอกจากเรา กับนักท่องเที่ยวประปรายที่ขี่ม้าผ่านมานานๆ ที
Huanglong Scenic Area (黄龙风景区)
หวงหลงหรืออุทยานธารน้ำมังกรเหลือง
สาเหตุที่เรียกที่นี่ว่าเป็นมังกรเหลืองนั้น เนื่องจากบริเวณนี้มีแร่ธาตุหินปูนและหินอ่อนเป็นจำนวนมาก ตรงพื้นที่ขอบๆ บ่อเลยกลายเป็นสีเหลืองไปโดยปริยาย แถมเมื่อมองจากมุมสูง ธารน้ำที่ลดหลั่นกันหลายกิโลเมตรนี้จะมีลักษณะเหมือนมังกรอีกแหนะ ตีความไป ตีความมา Yellow Dragon แล้วกัน
หวงหลงแห่งนี้ยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก (UNESCO) อีกด้วยนะ นอกเหนือไปจากความสวยงามแล้ว ที่นี่ยังอุดมสมบูรณ์มากๆ มีความหลากหลายทางชีวภาพ แถมยังมีสัตว์หายาก อย่างแพนด้ายักษ์ ลิงจมูกสีทอง
เราตัดสินใจนั่งกระเช้าขาขึ้นแล้วเดินลง ด้วยความที่มีเวลาไม่มากนักแถมหิมะตกหนักมากๆๆๆ ในวันที่เราไป ตอนแรกเดินไปก็นึกไปว่าคิดถูกไหมวะที่นั่งกระเช้า เพราะจุดจอดกระเช้าไปแนวบ่อน้ำหวงหลงก็ไกลใช่ย่อย จนกระทั่งเดินขาลงเนี่ยแหละ ชั้นว่าชั้นคิดถูก เดินขึ้นมีหอบหนักแน่ๆ อากาศทั้งเบาบางและหนาวจับใจ ถึงขนาดมี Oxygen Station อยู่ตลอดทางเดินเลย
แต่ถึงแม้จะเหนื่อยแค่ไหน เราก็ไม่อยากให้ทุกคนพลาดที่นี่ด้วยประการทั้งปวง การันตีด้วยตราประทับแหล่งท่องเที่ยวระดับ AAAAA ถึงแม้น้ำจะไม่สีฟ้าตัดกับมังกรสีเหลือง แต่ได้วิวหิมะตกแบบนี้ก็บรรยากาศโรแมนติกไปอีกแบบ
- ตั๋วค่าเข้า+ตั๋วรถบัส 170rmb ตั๋วกระเช้าขาขึ้น 1trip 80rmb ซื้อหน้าทางเข้า (บัตรนักเรียนลดครึ่งราคาเฉพาะตั๋วค่าเข้า+ตั๋วรถบัสจาก 170rmb จะเหลือ 85rmb)
- เวลาเปิดปิด 8:00 – 17:00
Dagu Glacier (大沽冰川国家公园)
ต้ากู่กลาเซียร์
ต้ากู่ในภาษาจีนแปลว่า Glacier นั่นเอง ด้วยความสูงประมาณ 5,000m เหนือระดับน้ำทะเล ทำให้อากาศข้างบนหนาวเย็นมาก จนถึงขั้นหิมะตกเลยทีเดียวในช่วงที่เราไปกัน (เดือนตุลาคม) แต่ไม่ได้เป็นเฉพาะหน้าหนาวนะ เพราะด้านบนภูเขาของที่นี่มีหิมะขาวปกคลุมตลอดทั้งปี! คือเป็นรูทที่อะเมซซิ่งมากจริงๆ เหมือนได้เที่ยวทั้งฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวไปพร้อมกันในครั้งเดียว
กลาเซียร์ หรือ ธารน้ำแข็งนั้นเกิดจากการทับถมกันของชั้นหิมะรวมตัวกันกลายเป็นซูปเปอร์น้ำแข็งที่แข็งแกร่งมากๆ ไม่ละลายแม้ในฤดูร้อน ถ้าดูจากรูปจะเห็นอันที่เห็นเป็นเหมือนทะเลสาบแข็งๆ สีเข้มข้างล่างนั่นล่ะ ธารน้ำแข็งของที่นี่เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในธารน้ำแข็งที่มีอายุน้อยที่สุดในโลก (4ล้านปี) แต่เพิ่งถูกค้นพบเมื่อปี 1992 นี้เองโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่น ที่บังเอิญส่องไปเห็นต้ากู่กลาเซียร์แห่งนี้ผ่านทางภาพถ่ายดาวเทียม
การไปเที่ยวในอุทยานต้ากู่นั้นควรเผื่อเวลาไว้ซัก 4 ชั่วโมง (รวมเดินเที่ยวและนั่งรถไป-กลับ) เพราะว่าเราจะต้องนั่งรถเวียนไปตามจุดต่างๆ กว่า 5-6 จุดก่อนที่จะถึงกระเช้า คือใครขี้เกียจจะนั่งยาวๆ ไม่ลงจากรถ ตรงไปที่จุดขึ้นกระเช้าก็น่าจะได้เหมือนกันนะ แต่สำหรับเราผู้ไม่เคยทำใจได้ไหวกับวิวสวยๆ ก็คือลงทุกจุดแถมใช้เวลาถ่ายรูปไปซะนานเชียว
รถเวียนจะจอดให้คนลงในทุกจุด ซึ่งความดีงามคือจุดแรกๆ เราจะเห็นวิวเป็นป่า ลำธารเขียวๆ ที่มีพื้นหลังเป็นภูเขาหิมะอยู่ปลายตา ค่อยๆ นั่งรถไต่ระดับความสูงขึ้นมาก็จะค่อยๆ เห็นภูมิประเทศเปลี่ยนแปลงไปทีละหน่อย จากเขียวก็กลายเป็นหิมะขาวปกคลุมไปทั่วเลย พวกเราชอบกันมาก ถือเป็นรูทในดวงใจประจำทริปเลยทีเดียว
เป็นอีกที่ที่ไม่อยากให้พลาดเลยในการมาเที่ยวเฉิงตูนะ นี่แอบไปเช็คมาให้แล้ว มีคนไปเที่ยวที่นี่ช่วงสงกรานต์แล้วหิมะด้านบนก็ยังคงตกปรอยๆ อยู่ พีคมาก ใครอยากเจอหิมะไม่ต้องไปไกลเลย จีนก็มี;)
- ตั๋วค่าเข้า 120rmb, ตั๋วรถบัส 70rmb, ตั๋วกระเช้าขึ้น-ลง 180rmb ซื้อหน้าทางเข้า (บัตรนักเรียนลดครึ่งราคาเฉพาะตั๋วค่าเข้าจาก 120rmb จะเหลือ 60rmb)
- เวลาเปิดปิด 08:30-17:30
Chengdu City (成都市)
เมืองเฉิงตู
หลังจากที่ซึบซับธรรมชาติกันมามากเกินพอเป็นเวลา 5 วัน ก็ได้เวลาบอกลาคุณจางและ Private Tour เพื่อกลับเข้ามาสู่ในอ้อมอกเมืองใหญ่อย่างเฉิงตู เมืองที่มีพื้นที่ใหญ่เป็นต้นๆ ของประเทศจีน แถมได้ชี่อว่าคนแต่งตัวชิคมาก!
คนที่ไม่ใช่สายธรรมชาติจ๋า หลังจากเข้าอาณาเขตความเจริญของเมืองแล้วขอให้ปักหมุดไปที่ตึก IFS หรือตึกหมีปีนตึกนี้เป็นหลัก แล้วเดินยาวๆ ตลอดทั้งเส้นได้เลยเพราะทั้งแหล่งช็อปปิ้งและตึกสวยๆ มีเยอะมากกก เหมือนลานเซนทรัลเวิร์ลหลายลานต่อกัน
เค้ายังว่ากันว่าคนเฉิงตู แต่งตัวดีมากซะด้วย ขนาดที่แซวไว้ว่าวันนี้คนเฉิงตูแต่งตัวอะไร วันพรุ่งนี้คนจีนทั้งประเทศจะต้องแต่งตัวตามหรือมีเสื้อผ้าออกมาขาย เคลมใหญ่ขนาดนี้ ขอยกตำแหน่ง trend setter ไปเลยจ่ะแม่ แต่เอาจริงๆ ก็จริงอยู่นะว่าไม่ได้ แค่เดินดูวัยรุ่นแถวนี้แต่งตัวก็เพลินแล้วอะ ดีงามมากจริงๆ
แถมๆ เรื่องที่พักนี่ก็ไม่ต้องเป็นกังวลนะ ขอยกให้เป็น 1 ในเมืองที่เราเลือกโรงแรมยากมากกก เพราะทั้งสวยและถูก แถมมีให้เลือกเต็มไปหมดเลย อย่างโรงแรมที่เราเลือกมาในครั้งนี้ตกหัวละประมาณ 700บาท/คน/คืนเท่านั้น แถมอยู่ใจกลางเมืองเลยอีกต่างหาก
สรุปสั้นๆ ว่าบ้านเมืองเค้าเจริญไปกว่าเรามากๆ แล้วจ้าา ไม่มีอะไรน่ากังวล กลัวเรื่องห้องน้ำก็เข้าในห้างได้เลย หอมฉุย5555
ที่เที่ยวที่เราไปมาในเมืองเฉิงตูครั้งนี้
- People Park: สวนสาธารณะที่ดีมากๆๆๆ เห็นคุณลุง คุณปู่ คุณป่ามาสังสรรค์แล้วจอยแทนสุดๆ ต้นไม้เยอะ บรรยากาศดี
- IFS Building: ตึกหมี ห้างไฮโซ เดินได้เรื่อยๆ ทั้งเส้นนี้เลย ซิวิไลซ์มากๆ
- Kuanzhai Walking Street: มินิตลาด เดินได้เพลินๆ มีอาหาร มีบาร์เปิดกลางคืน อยู่ใกล้โรงแรมเราแบบเดินได้
- Jinli Walking Street: อันนี้ถนนคนเดินแบบใหญ่ มีทุกอย่างแบบทุกอย่าง เพลินมากเช่นกัน