Ayutthaya – Ang Thong
ท่องเที่ยววิถีชาวนา ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา – ป่าสัก
หนึ่งในจังหวัดที่เราไปเที่ยวบ่อยๆ ช่วงเสาร์ – อาทิตย์ คงหนีไม่พ้นจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมืองเก่าของเราแต่ก่อนนี่เอง แต่คราวนี้จะพาไปเที่ยวจังหวัดข้างๆ อย่างอ่างทองกันด้วย
ทริปนี้ไม่ได้พาไปเข้าวัด ซื้อขนมสายไหม หรือกินกุ้งแม่น้ำแต่อย่างใด แต่จะพาไปเที่ยวทุ่งนา ชมพิพิธภัณฑ์ ดูสาธิตวิธีทำเคียวเกี่ยวข้าว และเรียนรู้การทำงอบไทยใบลาน สินค้า OTOP ของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อีกวันพาไปเที่ยวจังหวัดอ่างทองดูงานฝีมือต่างๆ และจบวันด้วยการดูละครชาตรีที่สุดแสนจะชุบชูใจ
ทุกสถานที่ที่เราไปได้รับการต้อนรับอย่างดีจากคุณลุง คุณป้าที่พร้อมสาธิตงานฝีมือให้ดู และพร้อมบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฟัง คนในชุมชนเขาดีใจกันจริงๆ นะ ที่มีคนมาเรียนรู้ มาสัมผัสวัฒนธรรมของเขาถึงที่ ใครมีโอกาสได้มาเที่ยวตามเรา คราวหน้าอยากให้ลองชวนคนในชุมชนคุยดู รับรองว่าได้ความรู้ใหม่ๆ กลับไปแน่นอน
ถ้าใครกำลังอยากเที่ยวพระนครศรีอยุธยา – อ่างทองในรูปแบบใหม่ๆ ดูบ้างลองดูทริปนี้ของเราเป็นไอเดียดูนะ สายเที่ยววัฒนธรรมและงานฝีมือ น่าจะอินได้ไม่ยาก
พร้อมกันหรือยัง ? ออกไปเที่ยวกัน
เริ่มเดินทางจากกรุงเทพฯ ใช้เวลาประมาณชั่วโมงนิดๆ ก็ถึงพระนครศรีอยุธยาเมืองเก่าแล้ว
เริ่มต้นทริปกันที่แปลงโฉนดที่ดินฉบับแรกของประเทศไทย ต่อด้วยพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
เจ้าสามพระยา ดูโบราณวัตถุต่างๆ ต่อด้วยไปดูสาธิตวิธีทำเคียวเกี่ยวข้าวกันที่พิพิธภัณฑ์หัตกรรมอรัญญิก และจบวันที่ชุมชนบางนางร้า ดูวิธีทำงอบไทยใบลาน ของ OTOP ขึ้นชื่อของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
วันที่สองเราตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อขับรถไปที่ศูนย์ตุ๊กตาชาววังบ้านบางเสด็จ จังหวัดอ่างทอง ได้ลองไปปั้นและระบายสีตุ๊กตาด้วยตัวเอง ตอนบ่ายไปต่อกันที่ กลุ่มอาชีพจักสานไม้ไผ่บางเจ้าฉ่า ดูสาธิตการเย็บกระบุงด้วยไม้ไผ่ ตามด้วยไปสักการะหลวงพ่อใหญ่ที่วัดม่วง และจบทริปที่วัดนางชำดูการแสดงละครชาตรีที่ปัจจุบันหาชมได้ยากเป็นอันจบทริป
• แปลงโฉนดที่ดินฉบับแรกของประเทศไทย — จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
เริ่มต้นที่แรกเราพามากันที่แปลงโฉนดที่ดินฉบับแรกของประเทศไทย ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยากัน
เมื่อก่อนที่นี่มีการร้องเรียนเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นจำนวนมาก เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จมาประพาสต้นที่นี่จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดทำทะเบียนที่ดินให้เป็นหลักฐานเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดินขึ้น ที่ดินที่นี่มีจึงเป็นการออกโฉนดที่ดินฉบับแรกของประเทศไทยนั่นเอง
ถ้าใครมาตามหมุดแล้วเราอยากให้ทุกคนขับรถต่อเข้าไปอีกนิดจะเจอกับทุ่งนาเขียวๆ คนไม่เยอะเหมาะแก่การแวะมาถ่ายรูปกับนาข้าวสวยๆ แถมยังมีหอคอยสีน้ำตาลน่ารักๆ ให้ขึ้นไปถ่ายรูปมุมสูงได้ด้วย
พี่ที่ดูแลสถานที่เขาบอกว่าเอาจักรยานมาปั่น เลียบนาข้าวได้ด้วยน้า มาช่วงเย็นๆ หน่อย
ได้รูปสวยๆ กลับไปแน่นอน
📍แปลงโฉนดที่ดินฉบับแรกของประเทศไทย
https://goo.gl/maps/bCUwZBHqbhUWntRn7
• เข้าชมได้วันทุกวัน
• เวลาเปิด – ปิด: 09.00 – 17.00 น.
• พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา — จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
หลังพระนครศรีอยุธยาเสียกรุงโบราณสถานและโบราณวัตถุจำนวนมากได้ถูกเก็บไว้ที่กรุวัดราชบูรณะ ทำให้เมื่อช่วงประมาณปี พ.ศ. 2500 เกิดข่าวที่หลายคนน่าจะเคยได้ยินกันมาบ้างคือ มีคนร้ายประมาณ 20 – 30 คน ลักลอบขุดกรุวัดราชบูรณะ ได้ของมีค่าไปจำนวนมาก เครื่องทองที่เหลืออยู่ในกรุ เช่น พวกเครื่องทอง พระพุทธรูป เครื่องราชูปโภค เครื่องราชบรรณาการ
เพื่อเป็นการเก็บรักษาโบราณวัตถุที่เหลืออยู่ไว้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเลยมีพระดำรัสว่าควรสร้างพิพิธภัณธ์เก็บรักษาของมีค่าเหล่านี้ไว้ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทางกรมศิลปากรจึงได้สร้าง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยาขึ้น โดยตั้งชื่อระลึกถึงพระบาทสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) ผู้ที่สร้างวัดราชบูรณะขึ้นนั่นเอง
ตัวพิพิธภัณฑ์มีทั้งหมด 3 อาคาร คือ
• อาคารจัดแสดง 1
: จัดแสดงโบราณวัตถุ เช่น พระพุทธรูป พระพิมพ์ ตู้พระธรรมลายรดน้ำ และโบราณวัตถุสำคัญคือ พระบรมสารริกธาตุจากวัดมหาธาตุ และเครื่องทองจากกรุวัดราชบูรณะ
• อาคารจัดแสดง 2
: จัดแสดงโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุประเภทภาชนะดินเผา
• อาคารเรือนไทย
: ภายในจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับเครื่องมือ เครื่องใช้สมัยโบราณและตำรับยา นอกจากนั้นยังมีรวมกระเบื้องเชิงชายลายต่างๆ จากหลายๆ วัดไว้ด้วย พร้อมบอกข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการลวดลายกระเบื้องในพระนครศรีอยุธยา และข้อมูลเกี่ยวกับลายนั้นๆ ไว้อย่างเสร็จสรรพ นอกจากนั้นที่นี่เขามีบ่อปลาด้วยนะ ถ้าเดินชมงานเรียบร้อยแล้วก็แวะมาให้อาหารปลากันได้
โดยรวมเราว่าถ้าใครอินของเก่า โบราณวัตถุน่าจะชอบได้ไม่ยาก และอาคารจัดแสดงยังแสงสวยมากกกอีกด้วย เหมาะกับการมาเดินชมงานแบบชิลๆ และถ่ายรูปสวยๆ เป็นที่สุด
📍 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา
• เข้าชมได้ทุกวันอังคาร – อาทิตย์ (หยุดวันจันทร์ ) ไม่เว้นวันหยุดราชการและวันนักขัตฤกษ์
• เวลาเปิด – ปิด: 09.00-16.30 น.
• ค่าเข้า: ชาวไทย 30 บาท ชาวต่างประเทศ 150 บาท
• รายละเอียดเพิ่มเติม: https://www.facebook.com/chaosamphraya
• พิพิธภัณฑ์หัตถกรรมอรัญญิก — จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ที่บ้านใครใช้มีดอรัญญิกบ้าง ? มีดอรัญญิกขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพ คม ทนทาน และประณีตสวยงาม เป็นหนึ่งในงานหัตถอุตสาหกรรมในครอบครัวที่สร้างชื่อให้จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเลยก็ว่าได้
ที่มาของมีดอรัญญิก ต้องเล่าว่าช่วงรัชกาลที่ 2 ชาวลาวเวียงจันทร์ได้อพยพมาตั้งถิ่นฐานที่บริเวณบ้าน ต้นโพธิ์ และบ้านไผ่หนอง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยชาวลาวที่อพมาส่วนใหญ่ประกอบอาชีพ ช่างทำทองและช่างตีเหล็ก
แต่ด้วยความที่บ้านต้นโพธิ์และบ้านไผ่หนองไม่ได้อยู่บนเส้นทางสัญจรหลัก เมื่อผลิตมีดได้ก็ไม่ได้มีช่องทางในการขายมากนัก ชาวบ้านเลยล่องเรือนำมีดที่ผลิตไปขายที่หมู่บ้านอรัญญิก เนื่องจากที่นี่เป็นชุมชนขนาดใหญ่แหล่งแลกเปลี่ยนสินค้าและสมัยก่อนเป็นแหล่งที่มีนักพนันเดินทางมาเสี่ยงโชคมากมาย ชาวบ้านจึงได้นำมีดไปขายกันที่โรงบ่อน พอคนซื้อไปเห็นว่าคุณภาพดี ก็บอกต่อๆ กันไปว่าซื้อมาจากบ้านอรัญญิก จนคนเรียกติดปากกันว่า “มีดอรัญญิก” มาจนถึงทุกวันนี้นั่นเอง
สมัยก่อนการทำมีดต้องอาศัยคนงานหลายคน คนงานจะต้องฝึกหัดมาเป็นอย่างดี ควรรู้ว่ามีดรูปร่าง แบบนี้ควรตีตรงไหน และจะต้องคอยฟังสัญญาณการใช้เสียงของผู้จับเหล็กหรือที่เรียกกันว่า “ครูเตา” ซึ่งจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับการทำมีดอย่างดีเยี่ยมและเป็นที่นับถือของช่างตีมีดในชุมชน
มาครั้งนี้เราได้มีโอกาสดูวิธีทำเคียวเกี่ยวข้าวกันด้วย สาธิตโดยครูพยงค์ ทรัพย์มีชัย ครูเตาอารมณ์ดีที่ทำให้ดูตั้งแต่ขั้นตอนการตัดเหล็ก นำเข้าเตาเผา ใช้ค้อนตีเหล็กจนเรียบเป็นมัน จากนั้นนำมาแต่งด้วยตะไบและขูดเพื่อให้มีดบางและคมยิ่งขึ้น จนถึงขั้นตอนการเข้าด้ามมีด
สารภาพว่าตื่นเต้นมากเพราะไม่เคยดูอะไรแบบนี้ที่ไหนมาก่อนเลย ครูพยงค์สายตามุ่งมั่น และทำงานอย่างลื่นไหลไม่มีติดขัด ทำให้เหมือนเรากำลังหลุดเข้าไปในสารคดีการทำเคียวเกี่ยวข้าวยังไงอย่างนั้น
เมื่อเข้าด้ามเสร็จครูพยงค์โชว์ให้เราดูว่าเคียวเกี่ยวข้าว 2 เล่ม ขนาดเท่ากันเป๊ะโดยที่ไม่ต้องวัด ดูแล้วนับถือใจคนทำงานฝีมือเลย กว่าเขาจะทำกันได้ขนาดนี้ต้องใช้ความอดทน ฝึกหัดกันนานหลายปีจนกว่าจะชำนาญขนาดนี้ได้
ถ้าใครกำลังหามีดดีๆ คม ทนทาน สำหรับไว้ใช้ในครัว อย่าลืมอุดหนุนมีดอรัญญิกกันนะ ของเขาดีจริง
📍พิพิธภัณฑ์หัตถกรรมอรัญญิก
• เข้าชมได้วันจันทร์ – วันอาทิตย์
• เวลาเปิด – ปิด: 08.30 – 16.30 น.
• สถานที่ตีเคียวจะอยู่ใกล้ๆ กับพิพิธภัณฑ์เลย ใครอยากมาดูแบบเรามาดูได้ตลอดเลยนะ
มีทั้งตีเคียว ตีดาบ และตีอุปกรณ์อื่นๆ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน
https://www.facebook.com/พิพิธภัณฑ์หัตถกรรมอรัญญิก-2111540692496226
• งอบไทยใบลาน บางนางร้า – จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ถ้าไม่ใช่ชาวนา ชาวไร่เดี๋ยวนี้ เราคงเห็นคนใส่งอบกันน้อยแล้วใช่ไหม แต่ปัจจุบันชาวชนบท
บางท้องถิ่น ของที่นี่ยังมีการทำงอบกันอยู่ โดยเฉพาะที่ตำบลบางนางร้า อำเภอบางปะหันที่โด่งดังเรื่องงอบไทยใบลาน จนถือว่าเป็นแหล่งผลิตงอบที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยเลยทีเดียว
ชาวบ้านจะใช้ช่วงที่ว่างเว้นจากการทำไร่ ทำนา มาสานงอบกัน นับว่าเป็นทั้งงานอดิเรกและงานที่ช่วยเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัว พี่ดุ๋ย – ธาราวุฒิ จุลวงศ์ เล่าให้เราฟังว่าการทำงอบจะทำแบบแยกตามชิ้นส่วน ความถนัดของแต่ละตำบลในอำเภอบางปะหัน โดยตำบลบางนางร้าจะทำขั้นตอนการติดเย็บใบลาน ตั้งแต่การติดเย็บ ผูกขอบ ขั้นตอนภาพรวมทั้งหมดจนเสร็จ
คุณป้าที่สานงอบเล่าให้ฟังว่า กว่าจะทำงอบได้ 1 ใบ ใช้เวลาหลายอาทิตย์เพราะเป็นงานที่ต้องใช้มือในการเย็บทั้งหมด ต้องขึ้นโครงงอบด้วยไม้ไผ่ นำใบลานมารีดด้วยเตาถ่านเพื่อนำมาติดเย็บตัวงอบ จากนั้นผูกขอบและติดจอมหรือกระหม่อมตรงกลาง
ส่วนจุดเด่นของอบจะอยู่ที่รังงอบ (ที่สวมศีรษะ) เนื่องจากรังงอบจะโปร่ง มีช่องว่างช่วยให้ใส่แล้วไม่ร้อน อากาศถ่ายเทสะดวก เราเลยจะเห็นชาวนา ชาวไร่เขานิยมใส่งอบออกไปทำนากลางแดดร้อนๆ กันนั่นเอง นอกจากนั้นถ้าเก็บรักษาดีๆ งอบจะเก็บไว้ได้ถึง 10 ปีเลยนะ
ใครแวะมาแถวอำเภอบางปะหันลองแวะมาที่ชุมชนบางนางร้ากัน มาแล้วจะได้เห็นวิถีชีวิตชาวบ้าน บรรยากาศแบบชนบทที่คุณป้า คุณน้าจะนั่งสานงอบกันเป็นกิจวัตร มาแล้วไม่ผิดหวังแน่นอนเพราะที่นี่ยังมีงอบสวยๆ และของจักสานอื่นๆ ให้ช็อปปิ้งอีกเพียบ
📍งอบไทยใบลาน บางนางร้า – จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
•ใครอยากมาอุดหนุนงอบสวยๆ ให้ปักหมุดมาที่กลุ่มงอบไทยใบลาน
» https://goo.gl/maps/fDXpeQwnRn2tg71KA
• หรือติดต่อมาที่พี่ดุ๋ย ประธานกลุ่มจักสานงอบได้ที่เบอร์ 086-762-3504
• รายละเอียดเพิ่มเติม: https://www.facebook.com/NgobThaiBaiLaan
• ศูนย์ตุ๊กตาชาววังบ้านบางเสด็จ — จังหวัดอ่างทอง
จังหวัดอ่างทองมีปัญหาน้ำท่วมอยู่เป็นระยะๆ ทำให้ช่วงที่เกิดอุทกภัยประชาชนไม่สามารถประกอบอาชีพได้ เมื่อครั้งที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จมาเยี่ยมราษฎร ที่ตำบลบางเสด็จจึงคิดว่าน่าจะมีอาชีพเสริมอื่นให้กับชาวบ้านโดยใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่ดีอยู่แล้วอย่างดินเหนียวมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ประกอบกับทรงคิดว่าตุ๊กตา
ชาววังหาชมได้ยากแล้ว ถ้าทำขึ้นมาน่าจะช่วยสืบสานงานศิลปหัตกรรมไทยได้อีกทางหนึ่ง
ท่านจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ส่งอาจารย์มาสอนปั้นตุ๊กตาชาววังให้กับชาวบ้าน และภายหลังได้จัดตั้งศูนย์ตุ๊กตาชาววังบ้านบางเสด็จขึ้น ทำให้ที่นี่กลายเป็นแหล่งผลิตตุ๊กตาชาววังที่ใหญ่ที่สุดและมีชื่อเสียงระดับโลก
ตุ๊กตาชาววังจิ๋วสีสันสดใสที่ปั้นจากดินเหนียวนี้แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ของผู้คน วัฒนธรรมและประเพณีไทย เช่น ชุดผัก ผลไม้ ชุดอาชีพพื้นบ้าน ชุดการละเล่นไทย ชุดประเพณี แต่ละชุดมีดีเทลการปั้น และลงสีที่ประณีตสุดๆ
การทำตุ๊กตาชาววังจิ๋ว พี่รุจี วิจิตรานุรักษ์ เล่าให้เราฟังว่าต้องเริ่มจาก
1. เตรียมดินเหนียว โดยใช้ผ้าขาวบางคลุมดินไว้เพื่อไม่ให้ดินแห้ง
2. นำดินมาปั้นแยกเป็นหัว แขน แล้วค่อยนำมาประกอบกับลำตัว
3. จากนั้นนำไปเผาในเตาด้วยอุณหภูมิ 800 – 900 องศาเซลเซียส
4. ลงสี และรอให้แห้ง
.
ขั้นตอนดูไม่ยุ่งยากใช่ไหม แต่พอได้ลองลงสีจริงๆ ยากกว่าที่คิดไว้เพราะต้องประณีตมากก
ต้องค่อยๆ ลง ผสมสีให้เจือจางก่อนเพื่อให้สีสม่ำเสมอกัน ไม่จับตัวเป็นก้อน
.
เราว่าถ้าใครมีลูก มีหลานลองชวนมาปั้นดิน ระบายสีแบบนี้ก็ดูน่าสนุกดีเหมือนกันเพราะว่าได้คิดได้ลงมือทำจริง แถมเสร็จแล้วยังได้กลับบ้านไปเป็นที่ระลึกด้วย
ศูนย์ตุ๊กตาชาววังบ้านบางเสด็จ ตั้งอยู่ภายในบริเวณวัดท่าสุทธาวาส ที่นี่เป็นเรือนไทย 2 ชั้น ชั้นบนมีห้องจัดแสดงนิทรรศการพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และตุ๊กตาชาววังที่บอกเล่าเรื่องราววิถีชีวิตชาวบ้าน ส่วนชั้นล่าง เป็นที่ทำการของกลุ่มปั้นตุ๊กตาชาววังซึ่งมีแสดงผลงานและขายตุ๊กตาชาววังสำหรับซื้อเป็นของฝาก
📍ศูนย์ตุ๊กตาชาววังบ้านบางเสด็จ — จังหวัดอ่างทอง
• เข้าชมได้วันจันทร์ – วันอาทิตย์
• เวลาเปิด – ปิด: 09.00 – 16.00 น.
• ที่นี่เขามีให้ปั้นตุ๊กตาด้วยนะ แนะนำให้ Inbox ไปสอบถามเพิ่มเติมได้ใน https://www.facebook.com/tukkatachaowang/ หรือ โทร 061-494-0538
• ชุมชนจักสาน บางเจ้าฉ่า — จ.อ่างทอง
ชวนมาช็อปปิ้งสินค้า OTOP ของขึ้นชื่อจังหวัดอ่างทองกัน
ว่ากันว่าคนอ่างทองเก่งเรื่องจักสานกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษและตกทอดมาถึงคนรุ่นปัจจุบันจนที่สามารถต่อยอด พัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์เรื่อยมาจนมีชื่อเสียงทั้งในหมู่คนไทยและชาวต่างชาติถ้าใครกำลังตามหากระบุง ตะกร้า กระเป๋าสานสวยๆ แนะนำให้มาที่ชุมชนบางเจ้าฉ่าเลย เพราะที่นี่เป็นแหล่งรวมของคนที่มีฝีมือทางด้านจักสานไม้ไผ่ที่มีคุณภาพระดับส่งออก
ภายในชุมชนมีวัตถุดิบหลัก คือ ต้นไผ่เป็นจำนวนมาก คุณสมบัติคือ ความแข็งแรง ทนทาน ทำให้ผลิตภัณฑ์มีทั้งความประณีต สวยงามและแข็งแรง นอกจากนั้นจุดเด่นอีกอย่างของผลิตภัณฑ์คือใช้การสานแบบดั้งเดิม ประยุกต์ให้เข้ากับดีไซน์แบบสมัยใหม่ได้ จะเห็นได้ว่าคนที่นี่ไม่ได้สานแค่กระบุง อุปกรณ์ทำนา เครื่องมือหาปลากันแล้ว แต่ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบให้เหมาะกับยุคสมัยมากขึ้น เช่น ที่ใส่แก้วเยติ ตะกร้าใบจิ๋วเอามาใส่เป็นกระถางต้นไม้ได้ หรือบรรดากระเป๋าสานสีพาสเทลก็มีให้เลือกหลากหลายคู่สี
มาคราวนี้เราก็ได้ลองสานกระบุงด้วย พอได้ลองทำจริงๆ แล้วงานจักสานเป็นงานฝีมือที่ต้องใช้ความประณีตมากๆ คนที่ทำต้องใจเย็นและมีสมาธิสุดๆ และใบนึงใช้เวลาเป็นอาทิตย์ๆ กว่าจะเสร็จ
ใครชอบงานสานลองแวะมาที่ ศูนย์จำหน่ายสินค้า OTOP ต.บางเจ้าฉ่ากันนะ ข้างในมีสินค้าฝีมือคนในชุมชนให้เลือกซื้อเยอะแยะมากมาย แต่ละแบบสวยๆ ทั้งนั้น ไม่ผิดหวังแน่นอนนน
📍ชุมชนจักสาน บางเจ้าฉ่า — จ.อ่างทอง
•ใครอยากมาอุดหนุนสินค้าให้ปักหมุดมาที่ชุมชนจักสาน บางเจ้าฉ่า
» https://goo.gl/maps/KxVgFgxER29SNvG27
• รายละเอียดเพิ่มเติม: https://www.facebook.com/otopbangjaocha/
• วัดม่วง — จังหวัดอ่างทอง
วัดม่วงเป็นอีกวัดที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาอ่างทอง สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายซึ่งในสมัยนั้นเมืองวิเศษชัยชาญเป็นเมืองหน้าด่านที่เจริญรุ่งเรืองมาก แต่หลังจากเสียกรุงวัดม่วงก็ถูกปล่อยรกร้างตั้งแต่นั้นมา
ภายหลังวัดม่วงได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่อีกครั้ง จุดเด่นของวัดคือมีพระพุทธรูปปางมารวิชัย ที่มีหน้าตักกว้าง 63 เมตร สูง 95 เมตร ประดิษฐานอยู่ ชาวบ้านจะเรียกติดปากกันว่า “หลวงพ่อใหญ่”
วิธีอธิษฐานจิตขอพรกับหลวงพ่อใหญ่ คือให้ใช้ 2 มือสัมผัสที่ปลายนิ้วกลางของหลวงพ่อ แล้วตั้งใจขอในสิ่งที่ดี หลวงพ่อจะช่วยดลบันดาลให้โชคดี เจริญรุ่งเรือง ก้าวหน้าในหน้าที่การงานและสมปราถนา พอมาเห็นแล้วองค์ใหญ่สมคำร่ำลือจริงๆ ทางเราได้เข้าแถวสัมผัสปลายนิ้วของหลวงพ่อเพื่อความเป็นสิริมงคลด้วยเหมือนกัน
ส่วนถ้าใครอยากได้มุมสำหรับถ่ายหลวงพ่อใหญ่แบบเต็มองค์ แนะนำให้ขับรถออกมาบริเวณคาเฟ่ริมถนนใหญ่ เลียบกับทุ่งนา จะเป็นจุดที่ถ่ายรูปหลวงพ่อใหญ่ได้อย่างชัดเจนทั้งองค์โดยมีรูปเบื้องหน้าเป็นทุ่งนาเขียวๆ
📍วัดม่วง — จังหวัดอ่างทอง
• วัดม่วง » https://goo.gl/maps/VfHoBvvbUwEBvzeR6
• จุดถ่ายภาพหลวงพ่อใหญ่ » https://goo.gl/maps/VUzfZuFZ47ywCRGe7
• เช้าชมได้วันจันทร์ – อาทิตย์
• เวลาเปิด – ปิด: 06.00 – 18.00 น.
• ละครชาตรี วัดนางชำ – จังหวัดอ่างทอง
เราเชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยเรียนหรือเคยได้ยินละครชาตรีกันมาแล้วจากในหนังสือแต่ยังไม่มีโอกาสได้มาดูของจริง คราวนี้ได้มาดูละครชาตรีสดๆ ด้วยตาของตัวเอง ภาพคุณยายอายุ 70 – 80 กำลังแสดงละครอยู่ข้างหน้าเราแบบไม่กลัวเหนื่อย ใส่เอเนอร์จี้เต็ม 100 ทั้งสีหน้า แววตาทุกอย่าง ทำให้เรารู้ว่าการรักที่จะทำอะไรสักอย่างจริงๆ มันมีพลังมากเหลือเกิน : )
ละครชาตรีเป็นละครพื้นบ้านที่ได้รับอิทธิพลมาจากละครยาตรี ของประเทศอินเดีย เรื่องที่ใช้แสดงละครชาตรีส่วนมากจะเป็นเรื่องจักรๆ วงศ์ๆ นิยมเลือกแสดงเฉพาะตอนที่สนุกและสอดแทรกคุณธรรม นอกจากจะใช้แสดงเพื่อความบันเทิงแล้ว ละครชาตรียังนิยมเล่นเพื่อแก้บนอีกด้วย
มากถึง 15 คณะ ส่วนคณะที่เราได้ดูวันนี้
คือคณะอนันต์รุ่งสว่างศิลป์ แสดงละครเรื่องพระสุวรรณคันธรส ก่อนการแสดงจะต้องทำพิธีบูชาครูก่อน หลังจากนั้นปี่พาทย์ก็โหมโรงชาตรี ตัวยืนเครื่องออกมารำซัดหน้าบทตามเพลง แล้วจึงแสดงต่อจนจบเรื่อง
เป็นการดูละครชาตรีครั้งแรกในชีวิต เราตั้งใจดูอย่างไม่ละสายตา ระหว่างดูรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก คุณยายตั้งใจแสดงละครมากจนทำให้เราลืมอายุจริงไปชั่วขณะ ส่วนคุณลุงก็ตั้งใจเล่นดนตรีมากเช่นกัน ทั้งนักดนตรีและนักแสดงต่างช่วยกันทำให้ละครลื่นไหลและสนุกจนลืมเวลา
ก่อนกลับเราบอกลาพร้อมกับขอบคุณ คุณยายแตะที่แขนเราเบาๆ บอกว่าขอบคุณนะลูก สุขภาพแข็งแรงนะ
คงเป็นการดูละครชาตรีที่เราคงจดจำไปอีกนาน
📍ละครชาตรี วัดนางชำ – จังหวัดอ่างทอง
ติดต่อคิวชมละครชาตรีสามารถติดต่อได้ที่ อาจารย์สวธา เสนามนตรี (อ.ฟลุ๊ค)
โทร.08-1702-9448 หรือที่ https://www.facebook.com/AgedChatri ได้เลย
เป็นทริป 2 วัน 1 ที่เราได้สัมผัสกับศิลปะและวัฒนธรรมที่สะท้อนผ่านวิถีชีวิตชาวนา ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ในแบบที่เราไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน การได้พูดคุยกับคุณลุง คุณป้าในชุมชน ได้ลองระบายสีตุ๊กตา สานไม้ไผ่ด้วยตัวเอง และจบทริปด้วยการดูละครชาตรี ช่วยชุบชูใจและตอกย้ำรากเหง้าวัฒนธรรมของบรรพบุรุษสมัยก่อนของเราได้เป็นอย่างดี เรียกว่าได้ใช้หยุดวันเสาร์ – อาทิตย์ แบบได้สาระความรู้ ทั้งสนุกและเปิดมุมมองไปพร้อมๆ กัน
ถ้ามีโอกาส ก็อยากให้เพื่อนๆ ได้ลองมาท่องเที่ยวเปิดประสบการณ์ในมุมนี้กันดูบ้าง
เริ่มจากเที่ยวไปในชุมชนเล็กๆ ชวนคนในท้องที่คุยหน่อยๆ ช่วยเติมใจให้กันในวันที่การท่องเที่ยวไทยกลับมาคึกคักอีกครั้งเนอะ : ) ❖